วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ มีมุมมองเชิงบวกต่อการตอบโต้อย่างระมัดระวังของจีน

มาตรการการตอบโต้ของจีนมีผลกระทบจำกัด และไม่ยกระดับความขัดแย้ง หลังมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) จากสหรัฐฯ 10% มีผลบังคับใช้ (5 ก.พ.) จีนประกาศมาตรการตอบโต้ทันทีโดยการเพิ่มภาษีต่อสินค้าประมาณ 80 รายการ
(15% สำหรับถ่านหินและ LNG / 15% น้ำมัน และเครื่องจักรการเกษตร) มีผลตั้งแต่ 10 ก.พ. ซึ่งรวมถึงการสอบสวนการผูกขาดกับบริษัทสหรัฐฯ อย่าง Google และขึ้นบัญชีดำกับบริษัทสหรัฐฯ 2 แห่ง (PVH Corp และ Illumina Inc) อย่างไรก็ตามเรามีมุมมองเชิงบวกต่อการตอบโต้ดังกล่าว เนื่องจาก 1) การตอบโต้อย่างรวดเร็วหลังมาตรการเก็บภาษีมีผลบังคับใช้ แสดงถึงการคิดและวางแผนการตอบโต้มาอย่างดีแล้ว 2) มูลค่าของสินค้าที่เรียกเก็บภาษีตอบโต้เพียง 14 พันล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งน้อยกว่าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากจีนมาก (525 พันล้านดอลลาร์ฯ) 3) ท่าทีของจีนยอมรับการเก็บภาษีนำเข้าที่ 10% ซึ่งดีกว่าตัวเลขช่วงหาเสียงที่เคยถูกพูดถึงที่ 60% // เราประเมินตลาดมีแนวโน้มตอบรับเชิงบวกจากการที่จีนเลือกไม่ยกระดับความขัดแย้ง และยอมประนีประนอมกับภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและสินทรัพย์เสี่ยง
ครม.อนุมัติร่างพรบ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน: กฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายและสาขานิติบุคคลต่างประเทศใน 8 ธุรกิจ ได้แก่ ธนาคาร, การชำระเงิน, หลักทรัพย์, สัญญาซื้อขายล่วงหน้า, สินทรัพย์ดิจิทัล, ประกันภัย, นายหน้าประกันภัยต่อ และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องหรือตามประกาศ ให้เข้ามาลงทุนและตั้งบริษัทในไทย ซึ่งจะถูกกำกับดูแลโดยคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมฯ (ปัจจุบันกำกับโดย กลต./คปภ.และธปท.) ทั้งนี้เรามองคณะกรรมการใหม่ อาจมีอำนาจในการออกใบอนุญาตและกำหนดกฎเกณฑ์ในการทำธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะบวกกับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่สำหรับผู้ประกอบการเดิมอย่างธนาคารพาณิชย์ เรามองอาจได้ผลบวกจากการลดภาษีนิติบุคคล (สิงคโปร์อยู่ที่ระดับ 17%) อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายดังกล่าวยังต้องผ่านกฤษฎีกา และน่าจะออกเป็นกฎหมายได้ในช่วง มี.ค.-เม.ย.
ภาพรวมกลยุทธ์ บรรยากาศเก็งกำไรเป็นบวก มองแนวรับ 1,285-1,293 ต้าน 1,310-1,320 จุด ยังชอบกลุ่มผลประกอบการดี ใน 4Q67-1Q68 มีความน่าสนใจ โดยเราชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, สื่อสาร, ค้าปลีก และอาหาร (เนื้อสัตว์) กลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่และหุ้นปันผลสูงเริ่มกลับมาน่าสนใจ
แนวรับ: 1,293 แนวต้าน : 1,310-1,320 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• AOT (62): นักท่องเที่ยวต่างชาติ ม.ค. 3.7 ล้าน +19% YoY ขณะที่แผนจัดกิจกรรมกีฬาและคอนเสิร์ตของททท. บวกต่อจำนวนนักท่องเที่ยว ปี 2568 ตัดขาดทุน 53 บาท
• ERW* (4.16): ประเทศไทยชูธีมการท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2568 เป็นบวกต่อแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวและหนุนการเติบโตของกลุ่มท่องเที่ยว ตัดขาดทุน 3.28 บาท
• SAMART (8) : ผลประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่อง และเติบโตในช่วง 68-70 จากการกลับมาของรายจ่ายภาครัฐ และการฟื้นตัวของธุรกิจในกลุ่ม ตัดขาดทุน 6.00 บาท
• BTG (21) : คาดกำไร 4Q67F เพิ่มขึ้นทั้ง qoq และ yoy จากต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรยังปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ตัดขาดทุน 16.60 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- สหรัฐเผยตัวเลขเปิดรับสมัครงานต่ำกว่าคาดในเดือนธ.ค.
- "ทรัมป์" เตรียมต่อสายตรง "สี จิ้นผิง" ปลดชนวนเทรดวอร์
- จีนยื่นร้องเรียน WTO ค้านสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า
- ต่างชาติเที่ยวไทยเดือน ม.ค. เกือบ 4 ล้านคน แห่เที่ยวช่วงตรุษจีน
- ครม. ห้ามนำเข้า "ขยะอิเล็กทรอนิกส์" หวังลดมลพิษ-ดูแลสิ่งแวดล้อม
- ครม. ไฟเขียว MOU ไทย-จีน ผนึกกำลังลงทุนโครงการพลังงานสะอาด
- Grab เล็งซื้อกิจการ GoTo มูลค่า 7 พันล้านดอลล์ หวังลดการแข่งขันในตลาดแอปเรียกรถ
- "เมอร์ค" เผยกำไร,รายได้สูงกว่าคาดใน Q4/67
- หุ้น "เป๊ปซี่โค" ร่วงกว่า 3% นลท.ผิดหวังผลประกอบการ
- บทวิเคราะห์วันนี้ : AOT แนะนำ ซื้อ เป้า 70 บาท/ SPALI แนะนำ ถือ เป้า 18.20/ WHA แนะนำ ซื้อ เป้า 6.60 บาท/ SNNP แนะนำ ซื้อ เป้า 15 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
6 ก.พ. – BoE Interest Rate Decision