วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ KBANK เพิ่มอัตราการจ่ายปันผล เพื่อเพิ่ม ROE

KBANK เผยเป้าหมายทางการเงินปี 2568F จะไม่เน้นการโตสินเชื่อ ซึ่งอาจจะโตเป็นศูนย์ โดยมุ่งปรับปรุงคุณภาพสินเชื่อ โดยจะเน้นลูกค้ากลุ่มที่มีรายได้สูงเพื่อขยายสินเชื่อบ้าน และ wealth management หลังมีการผนึกพันธมิตรกับ JP Morgan
ทั้งนี้ แม้ว่าธนาคารจะตั้งเป้าสินเชื่อรวมทรงตัว แต่สินเชื่อรายย่อยยังจะขยายตัวได้ประมาณ 5-7% นอกจากนี้ ธนาคารยังคาดว่า NIM จะลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ 3.3-3.5% ในปี 2568F (จาก 3.64% ในปี 2567) ภายใต้การคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้ง อย่างไรก็ตามยังมีแง่บวกคือคชจ.สำรองฯ น่าจะลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ 140-160bps ในปี 2568 (จาก 190bps ในปี 2567) ในขณะที่ตั้งเป้าหมาย CET1 ระยะยาวเอาไว้ที่ 13-15% (จากปัจจุบันที่ 17.3%)
ค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ลดลง
ธนาคารเผยว่าพอร์ตสินเชื่อของธนาคารเริ่มมีหนี้เสียที่เบาลงจากการตัดหนี้สูญก้อนใหญ่ และ ขาย NPL ออกไปในช่วงสองปีที่ผ่านมาประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ในขณะสัดส่วน NPL กลุ่ม SME ลดลงมาอยู่ที่ 6% (จาก 7%) ในขณะที่การสามารถขายหนี้เสียออกไปได้อี 5.0-6.0 หมื่นล้านบาท ผ่าน Arun AMC ที่พึ่งจัดตั้งขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเร่งใช้นโยบายปรับโครงสร้างสินเชื่อ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ธนาคารบริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีขึ้นมากขึ้น และทำให้คชจ.สำรองฯ (credit cost) ตั้งเป้าลดลงมาอยู่ที่ 140-160bps ได้ อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าภาวะเศรษฐกิจยังมีความผันผวนสูง ซึ่งทำให้เรามองบวกน้อยกว่าธนาคาร และ ปรับลดสมมติฐาน credit cost ปี 2568 ลงมาอยู่ที่ 165bps (จาก 185bps)
การตั้งเป้า CET1 ระยะยาวที่ 13-15% ชี้ว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลขึ้นอีก
ภายใต้การโตรายได้ทำได้จำกัดจากอัตราการเติบโตที่ลดลง ในขณะที่ธนาคารสบายใจกับคุณภาพสินทรัพย์มากขึ้น ทำให้ไม่จำเป็นต้องคง CET1 ไว้ที่ระดับสูง โดยในปัจจุบัน CET1 อยู่ที่ประมาณ 17.3% และ Tier I อยู่ที่ 18.3% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำมากกว่า 2.0x นอกจากนี้ การที่สินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง (RWA) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นต่ำกว่า 3% และ สินเชื่อมีแนวโน้มจะทรงตัวในปี 2568 เรามองว่า KBANK มีโอกาสเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลระยะยาวเป็น >50% ได้
ปรับเพิ่มกำไรปี 2568F ขึ้นอีก 2.5%, ปรับเพิ่มTP-63F เป็น 183 บาท, ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ
เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรเพื่อสะท้อนถึง 1.) อัตราการขยายตัวของสินเชื่อที่ลดลงเหลือ 0%/5% ในปี 2568F/2569F (จากประมาณการเดิมที่ 5%/5%) โดยสินเชื่อที่ทรงตัวน่าจะสอดคล้องกับแนวโน้มการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจจะกระทบกับประเทศอื่น ๆ ใน Asean ด้วย 2.) NIM ที่ลดลงปีละ 10bps 3.) credit cost ที่ลดลงเหลือ 165bps/165bps (จาก 185bps/185bps) นอกจากนี้ เรายัง re-rate PBV เป็น 0.75x ปรับ TP-68F ใหม่ที่ 183 บาท (จากเดิม 175 บาท) และ ปรับเพิ่มคำแนะนำจากถือเป็นซื้อ
Risks
NPLs เพิ่มขึ้น และ credit cost เพิ่มขึ้น, NIM ถูกกดดัน.