วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ฟื้นตัวหลัง SET ลงจน Valuation ของตลาดยืนในกรอบล่าง

สหรัฐฯ เลื่อนการเก็บภาษีเม็กซิโกและแคนาดาไป 1 เดือน สอดคล้องมุมมองของเราที่ประเมินการเก็บภาษีเป็นเรื่องของการเจรจา หลังประกาศเก็บภาษีนำเข้า (Tariff) ที่ระดับ 25% ไปเมื่อ 1 ก.พ. ล่าสุดหลังจากการเจรจากับผู้นำของทั้งสองประเทศ
สหรัฐฯ ได้ตกลงที่จะพักการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาเพิ่มเติม ทั้งนี้การเลื่อนเก็บภาษีต่อเม็กซิโกและแคนาดาสนับสนุนมุมมองของเราที่ประเมินว่าภาษีเป็นเครื่องมือในการเจรจา เรามองวัตถุประสงค์หลักของสหรัฐฯ ไม่ใช่การเก็บภาษี ซึ่งอาจสร้างภาระต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ รวมไปถึงอาจกระทบต่อการค้าโลกอย่างรุนแรง แต่ใช้การกดดันเพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่เกินดุลสหรัฐฯ ผ่านการกดดันให้เปิดตลาดหรือนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้นแทน ทำให้ผลกระทบของสงครามการค้าในรอบนี้ต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกระยะสั้นอาจน้อยกว่าที่ตลาดเคยประเมินไว้
ความเสี่ยงทางลง (Downside risk) เริ่มจำกัด และมีโอกาสฟื้นหลัง SET ปรับลงมาถึง 13x PER: ตลาดหุ้นไทยมีกรอบการซื้อขายระยะยาวในระดับ 13-15x Forward PER ซึ่งหากอิงคาดการณ์กำไรต่อหุ้นของ Consensus ที่ 96 บาท และของเราที่ 99 บาท จะได้เป็นระดับดัชนีที่ 1,248-1,287 จุด การที่ SET Index ปรับลดลงมาต่ำสุดถึง 1,272 จุด เข้าใกล้กรอบล่างของ Valuation range ทำให้ความเสี่ยงของการปรับลดลงเริ่มจำกัด และมีโอกาสเห็นการฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่แนวโน้มกำไรแข็งแกร่ง ได้แก่ ค้าปลีก, ท่องเที่ยว, สื่อสาร, การเงิน เป็นต้น สำหรับธนาคารที่ Outperform มาตลอด รอบนี้อาจปรับขึ้นในระดับใกล้เคียงตลาด ทั้งนี้หากมองความแข็งแกร่งจากการฟื้นของหุ้นจากจุดต่ำสุดวานนี้ (มาก-น้อย) จะมีหุ้นที่น่าจับตา ได้แก่ CPALL, CCET, MGI, PIS, DELTA, VGI, MEDEZE, BCP, COM7, MONO, INSET, CENTEL, MASTER, PIN, CPAXT, MOSHI, HENG, ITC, MEGA, SAMART, BKGI, KAMART, MTC, GULF, NSL, JMART, WARRIX, BLA เป็นต้น
ภาพรวมกลยุทธ์ มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นทดสอบระดับ 1,310-1,320 จุด ยังชอบกลุ่มผลประกอบการดี ใน 4Q67-1Q68 มีความน่าสนใจ โดยเราชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, สื่อสาร, ค้าปลีก และอาหาร (เนื้อสัตว์) กลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่และหุ้นปันผลสูงเริ่มกลับมาน่าสนใจ
แนวรับ: 1,293 แนวต้าน : 1,310-1,320 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• EGCO (125): ความผันผวนทำให้เงินทุนบางส่วนน่าจะหาแหล่งหลบภัย ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ 6.4x PER 2568 และให้ผลตอบแทนปันผลที่ 6.1% ตัดขาดทุน 108 บาท
• ERW* (4.16): ประเทศไทยชูธีมการท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2568 เป็นบวกต่อแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวและหนุนการเติบโตของกลุ่มท่องเที่ยว ตัดขาดทุน 3.28 บาท
• SAMART (8) : ผลประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่อง และเติบโตในช่วง 68-70 จากการกลับมาของรายจ่ายภาครัฐ และการฟื้นตัวของธุรกิจในกลุ่ม ตัดขาดทุน 6.00 บาท
• BTG (21) : คาดกำไร 4Q67F เพิ่มขึ้นทั้ง qoq และ yoy จากต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรยังปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ตัดขาดทุน 16.60 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐพุ่งสูงสุดรอบเกือบ 1 ปีในเดือนม.ค.
- "ทรัมป์" เตรียมเปิดทำเนียบขาวต้อนรับ "เนทันยาฮู" หารือดีลหยุดยิงฉนวนกาซา
- "ทรัมป์" ชะลอแผนเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกออกไปอีก 1 เดือน
- ทรัมป์ เตือน “ยุโรป-สหราชอาณาจักร” อาจเผชิญภาษีศุลกากร
- ราคาน้ำมัน WTI ดีดตัว ขานรับโอเปคพลัสคงนโยบายการผลิตตามคาด
- นายกฯ หวังท่องเที่ยวช่วยกระตุ้น GDP ปีนี้โต ฝากผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดร่วมสร้างเมืองน่าเที่ยว
- สมาคมบลจ. ลุ้น LTF รีเทิร์น รอหารือคลัง นักลงทุนติดดอย 2 แสนล้านบาท
- EGCO Group เฮลั่น Yunlin จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 80 ต้น รวม 640 เมกะวัตต์ พร้อมรับรู้รายได้เต็มปี 2568
- บทวิเคราะห์วันนี้ : KBANK แนะนำ ซื้อ เป้า 190 บาท/ AU แนะนำ ซื้อ เป้า 12 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
4 ก.พ. – JOLTs Job Openings (Dec)
6 ก.พ. – BoE Interest Rate Decision