วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ การประกาศขึ้นภาษีสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศลงทุนเอเชียเช้านี้

สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) จากแคนาดาและเม็กซิโก 25% ขณะที่ขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 10% ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับ 1) การนำเข้ายาแก้ปวดที่มีฤทธิ์เสพติดสูงไม่ถูกต้องอย่าง เฟนทานิล 2) การอพยพ และลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย มีผลตั้งแต่ 1 ก.พ. 68
ทั้งนี้ ทั้ง 3 ประเทศมีมาตรการโต้ตอบสหรัฐฯ ดังนี้ 1) แคนาดา ขึ้นภาษีสินค้าหลายประเภทจากสหรัฐฯ 25% 2) เม็กซิโก ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 5-20% และ 3) จีน ยื่นเรื่องต่อองค์การค้าโลก (WTO) เพื่อคัดค้านมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และเตรียมใช้มาตรการตอบโต้เพิ่มเติม // สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าและเศรษฐกิจที่ยกระดับขึ้นคาดสร้างแรงกดดันต่อหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงเอเซียเช้านี้ ดัชนีค่าเงินดออลาร์ (Dollar Index) แข็งค่าขึ้น ขณะที่สกุลเงินของแคนาดา (CAD), เม็กซิโก (MXN) และจีน (CNY)
ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ: แม้เป็นการยากที่จะประเมินผลกระทบทั้งหมดของมาตรการขึ้นภาษี แต่ในเบื้องต้น คาดกระทบต่อ 1) ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของจีน เช่น Alibaba, Shein, Temu (ผลการศึกษาของม.แคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิสและเยล พบว่า พัสดุจาก Shein และ Temu คิดเป็น 30% ของพัสดุที่ได้รับการยกเว้นภาษี) 2) อุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ ผู้ผลิตชิปที่มีลูกค้าในจีน อาทิ TSMC (ไต้หวัน) และ Samsung Electronic (เกาหลีใต้) 3) อุตสาหกรรมยานยนต์และการลงทุนในเม็กซิโก HL Mando และ Kia (เกาหลีใต้) และ BYD (จีน) 4) อุตสาหกรรมพลังงานสีเขียว แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า Samsung SDI และ LG Chem (เกาหลีใต้) และ Longi Green Energy Technology (จีน) // โดยรวมนอกจากจีนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ประเมินว่าเกาหลีใต้และ ไต้หวัน ก็อาจได้รับผลกระทบในระดับสูง ซึ่งอาจสะท้อนผ่านการปรับลดลงของดัชนีเช้าวันนี้เช่นกัน
ภาพรวมกลยุทธ์ ปัจจัยลบต่างประเทศอาจกดดัชนีหลุด 1,335 จุด ทำให้มี Downside ในระดับ 1,305-1,320 จุด แต่ประเมินเป็นจุดน่าเสี่ยงซื้อ ยังชอบกลุ่มผลประกอบการดี ใน 4Q67-1Q68 มีความน่าสนใจ โดยเราชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, สื่อสาร, ค้าปลีก และอาหาร (เนื้อสัตว์) กลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่และหุ้นปันผลสูงเริ่มกลับมาน่าสนใจ
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• EGCO (125): ความผันผวนทำให้เงินทุนบางส่วนน่าจะหาแหล่งหลบภัย ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ 6.4x PER 2568 และให้ผลตอบแทนปันผลที่ 6.1% ตัดขาดทุน 108 บาท
• RATCH* (32): ความผันผวนทำให้เงินทุนบางส่วนน่าจะหาแหล่งหลบภัย ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ 7.5x PER 2568 และให้ผลตอบแทนปันผลที่ 6.0% ตัดขาดทุน 27 บาท
• BBGI (5.50) : ผลประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในปี 2568 จากน้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF) ตัดขาดทุน 4.40 บาท
• BTG (21) : คาดกำไร 4Q67F เพิ่มขึ้นทั้ง qoq และ yoy จากต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรยังปรับดีขึ้นต่อเนื่อง ตัดขาดทุน 16.80 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ทรัมป์ลงนามขึ้นภาษีสินค้า จีน-เม็กซิโก-แคนาดา มีผล 4 กุมภาฯ
- อัตราเงินเฟ้อ (PCE) ของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. สอดคล้องกับคาดการณ์
- จีนประณามมาตรการภาษีใหม่ของ "ทรัมป์" ยันปมเฟนทานิลเป็นปัญหาของสหรัฐฯ
- ผู้นำเม็กซิโกตอบโต้สหรัฐฯ สั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้า
- รัฐบาลแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จริงจัง สั่งห้ามนำเข้าข้าวโพดที่มาจากการเผา
- ชาติอาหรับค้านข้อเสนอ “ทรัมป์” ให้อียิปต์-จอร์แดน รับชาวปาเลสไตน์จากฉนวนกาซา
- ธปท. เผยเศรษฐกิจไทย ธ.ค.67 ชะลอลงตามการส่งออก-การผลิตภาคอุตสาหกรรม แม้ท่องเที่ยวฟื้น
- CPALL แจงข่าวร่วมทุนค้าปลีกญี่ปุ่นยังไม่สรุปเงื่อนไข-ผู้ร่วมทุน ยันพิจารณารอบคอบ
- บทวิเคราะห์วันนี้ : PTTEP แนะนำ ซื้อ เป้า 143 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
3 ก.พ. – ISM Manufacturing PMI (Jan)
4 ก.พ. – JOLTs Job Openings (Dec)