กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ : บล.เคจีไอฯ แกว่งตัวในกรอบแคบ... จับตาผลประชุมธนาคารกลางทั่วโลก

ยังขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่ ๆ ตลาดน่าจะยังพักฐาน ในสัปดาห์ที่แล้ว (9-13 ธันวาคม) ตลาดหุ้นไทยขยับลงทุกวัน และ อ่อนแอเกินคาดเนื่องจากปัจจัยดังต่อไปนี้
ปัจจัยแรก หุ้นกลุ่มพลังงานของไทยไม่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวในตลาดน้ำมันดิบ เพราะนักลงทุนยังคงเป็นกังวลกับความสมดุลของอุปสงค์ และ อุปทานในปี 2568 รวมถึงประเด็นลบเฉพาะตัวของหุ้นสองสามตัวในกลุ่มพลังงานของไทย
ปัจจัยที่สอง ตลาดผิดหวังกับมาตรการเศรษฐกิจของไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับแผนจัดการหนี้ครัวเรือนและการกระตุ้นการบริโภค โดยในส่วนของแผนจัดการหนี้ รัฐบาลไม่ได้ลดค่าธรรมเนียม FIDF ให้ทุกธนาคารโดยอัตโนมัติ แต่จะลดให้เท่ากับจำนวนหนี้ที่แต่ละธนาคารยอมให้เข้าโครงการ นอกจากนี้ รัฐบาลยังไม่เปิดเผยรายละเอียดของการกระตุ้นการบริโภคของชนชั้นกลาง ‘Easy e-Receipt’
ในสัปดาห์นี้ (16-20 ธันวาคม) เราคาดว่าดัชนี SET จะพักฐานต่อท่ามกลางประเด็นการลงทุนดังต่อไปนี้
ประเด็นแรก คือ เราคิดว่าธนาคารกลางหลัก ๆ อย่างเช่น FOMC ของสหรัฐ และ BoJ จะออกนโยบายใดมาทำให้ตลาดแปลกใจ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เตรียมตัวรับการลดดอกเบี้ยของ Fed และ การคงดอกเบี้ยของ BoJ ไว้ล่วงหน้าแล้ว เรามองว่าหากจะมีธนาคารกลางไหนที่สร้างความแปลกใจให้ตลาดในสัปดาห์นี้ก็น่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยผิดความคาดหมายของ กนง. ไทย
ประเด็นที่สอง คือ ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นการบริโภคของไทย เพราะรัฐบาลยังคงไม่ประกาศมาตรการ Easy e-Receipt ในขณะที่แผนขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน ก็ถูกเลื่อนมาสองสามรอบแล้ว
เป็นสัปดาห์ของการประชุมธนาคารกลางทั่วโลก โดยประเด็นที่น่าสนใจยังอยู่ที่ FOMC และ กนง.
ปัจจัยต่างประเทศ: นักลงทุนควรติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก ๆ อย่างเช่น Fed, BoJ และ BoE อย่างไรก็ตาม ผลการประชุม Fed ในวันที่ 18 ธันวาคม จะเป็นตัวหลักที่ตลาดให้ความสนใจ ถึงแม้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะคาดเอาไว้อยู่แล้วว่า Fed จะลด FFR ลง 25bps เหลือ 4.50% แต่สิ่งที่นักลงทุนจับตาคือแนวโน้มดอกเบี้ยจาก dot-plot และ ประมาณการเศรษฐกิจชุดใหม่
ปัจจัยในประเทศ: นักลงทุนควรติดตาม i) ผลการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. ในวันที่ 18 ธันวาคม เพราะกนง. ถูกบีบจาก time zone ที่แตกต่างกันทำให้ต้องตัดสินใจก่อนจะทราบผลการประชุม FOMC ซึ่งยากจะประเมินว่ารอบนี้ กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลง หรือคงไว้ที่ 2.25% ii) ความคืบหน้าของประเด็นที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ และ ตลาด อย่างเช่น Global Minimum Tax (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์กลยุทธ์ของเราที่เผยแพร่ในวันนี้)
ยังคงเน้นกลยุทธ์ defensive เพื่อรอให้ปัจจัยมหภาคชัดเจนมากขึ้น
ทั้งตลาดหุ้นไทย และ ตลาดหุ้นโลกยังขาดปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น โดยนักลงทุนรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐขยับเพิ่มขึ้นในช่วงหลายวันนี้ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรยึดแนวทางการลงทุนแบบ defensive ไปก่อนในสัปดาห์นี้ โดยเน้นหุ้นในธีมที่เราแนะนำไว้ อย่างเช่น หุ้นกลุ่มผู้บริโภค (CPALL* และ CRC*), นิคมอุตสาหกรรม อย่างเช่น AMATA* และ หุ้นที่ได้อานิสงส์จาก high-season อย่างเช่น AOT* นอกจากนี้ในส่วนของ CPAXT เรามองว่าภาวะตลาดในระยะสั้นอาจจะเป็นลบจากการเข้าลงทุนใน MQDC Forestias แต่นักวิเคราะห์ของเราประเมินว่าค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะกระทบกับประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 เพียง 2% เท่านั้น







