วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก PPI สหรัฐสูงกว่าคาด

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก PPI สหรัฐสูงกว่าคาด

วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดัชนี sideway up มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นราว 2.8% และกลุ่มขนส่ง โดยนักลงทุนติดตามดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.พ. ของสหรัฐ เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ

ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,394.93 จุด +10.42 จุด +0.75% มูลค่าการซื้อขาย 46,416 ลบ. Program Trading +1,289.78 ลบ. ต่างชาติ +1,068.42 ลบ. TFEX +11,498 สัญญา ตราสารหนี้ -437.11 ลบ.

ปัจจัยบวก    

+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.54 ดอลลาร์ หรือ +1.93% ปิดที่ 81.26 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 2 พ.ย. 2566 แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะตึงตัวมากขึ้นในปีนี้ พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันในปีนี้ด้วย
+ ททท.จับมือพันธมิตรเปิดตัวแคมเปญใหญ่ "สุขทันที.ที่เที่ยวเมืองรอง" ขานรับนโยบายรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นในพื้นที่ 55 เมืองรอง เดินหน้าปั๊มรายได้กว่า 324,900 ล้านบาท
+ วันนี้นายกฯจะเป็นประธานเปิดประชุมระดมความคิดเห็น IGNITE THAILAND'S TOURISM การประชุมเชิงปฏิบัติการหรือเวิร์กช็อปหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อวางแนวทางผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว หรือ Tourism Hub ระดับโลก โดยกำหนดเวิร์กช็อป 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.Must do in Thailand (สิ่งที่ต้องทำในไทย) 2.เมืองหลักชูเมืองรอง 3.การจัดงานระดับโลกหรือ World Class Events (ท้องถิ่น/ทั่วโลก) 4.การเชื่อมโยงในอาเซียน 5.การสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว

ปัจจัยลบ 

- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 137.66 จุด หรือ -0.35% เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐที่สูงเกินคาดอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ ( FED ) ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้
- สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ปรับตัวขึ้น 1.6%YoY ในเดือนก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.1%YoY หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนม.ค.
 

 

 

- FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 62.9% ที่ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย. ซึ่งลดลงจากระดับ 81.7% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค.นี้ นักลงทุนคาดว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50%
- จีนประกาศว่าจะใช้ "ทุกมาตรการที่จำเป็น" เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทจีนในต่างประเทศ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายระบุให้ไบต์แดนซ์ (ByteDance) ขายกิจการ TikTok ภายในเวลา 6 เดือน มิฉะนั้น TikTokจะถูกแบนจากสหรัฐ
- สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค.

แนวโน้มตลาดวันนี้  

คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวลงตามทิศทางตลาดต่างประเทศ โดยมีแรงกดดันจากหลังสหรัฐเผยดัชนี PPI +1.6% เดือนก.พ. สูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.1% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้น กดดันการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง มองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,385-1,400 จุด

กลยุทธ์การลงทุน    

• ฟรีวีซ่าไทย-จีน : AOT AAV MINT CENTEL ERW SPA SKY
• FTSE Large Cap. : เข้า – ออก CPF HMPRO IVL SCGP FTSE Mid Cap. : เข้า CPF HMPRO IVL SCGP ออก - FTSE Small Cap. : เข้า – ออก KEX RABBIT RAM SAMART WORK ใช้ราคาปิด 15 มี.ค.
• BTC ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง : JTS ZIGA BROOK TTA
• ราคายางพาราทำ New High รอบ 3 ปี : STA TRUBB NER TEGH

 

 

 

หุ้นรายงานพิเศษ  

WPH "เก็งกำไร - มุมมองบวกต่อแนวโน้มการเติบโตในปี 67 
และคาดจะเติบโตดีตั้งแต่ 1Q67 เป็นต้นไป"

•งวด 4Q66 มีกำไร 42 ลบ. พลิกมีกำไรจากปีก่อนที่ขาดทุน 8 ลบ. และโต 26%QoQ โดยมีรายได้ 439 ลบ. +70%YoY +12%QoQ โดยมีปัจจัยการเติบโต คือ 1) รพ.วัฒนแพทย์ สมุย เพิ่งเปิดช่วง 1Q66 ซึ่งได้กระแสตอบรับดีต่อเนื่อง จนกระทั่ง 4Q66 มี EBITDA เป็นบวกแล้ว (รพ.ปกติใช้เวลา 2-3 ปี ในการคุ้มทุนดังกล่าว) 2) กลุ่มผู้ป่วยต่างชาติเติบโตดีสู่ระดับ 26% (4Q65 = 20%, 3Q66 = 13%) จากการเข้าสู่ช่วง High Season ประกอบกับได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และ 3) โรคระบาดต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน อาทิ โรคทางระบบหายใจ RSV และไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โดยทั้งปี 66 มีรายได้และกำไร 1,469 ลบ. +27%YoY และ 95 ลบ. -18%YoY ตามลำดับ รายได้เติบโตขณะที่กำไรหดตัวเนื่องจากผลกระทบของค่าใช้จ่ายค่าเสื่อมราคาของรพ.วัฒนแพทย์ สมุย ที่เพิ่งเปิด

•ผู้บริหาร ตั้งเป้ารายได้ปี 67 เติบโตต่อเนื่อง 15-20% สู่ 1,700-1,800 ลบ. จากปัจจัยเติบโต 5 ประการ คือ 1) แนวโน้มคนไข้ต่างชาติเร่งขึ้นต่อเนื่อง โดยช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.67 มีสัดส่วนปรับขึ้นสู่ระดับ 41-52% ตามลำดับ ซึ่งกลุ่มลูกค้าดังกล่าวมาพร้อมกับ Intensity และรายได้ต่อบิลที่สูง 2) รพ.วัฒนแพทย์ สมุย ให้บริการเต็มรูปแบบ (มีกลุ่มลูกค้าประกันทั้งคนไทยและตปท.) รับรู้รายได้เต็มปี และปลายปีเตรียมรับกลุ่มลูกค้าประกันสังคม 3) เพิ่มการบริการใหม่ๆ อาทิ การตรวจสวนหัวใจและหลอดเลือด (Cath Lab) และ การบำบัดด้วยออกซิเจนความกดบรรยากาศสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy) 4) รพ.วัฒนแพทย์ อ่าวนาง เตรียมขยายเฟส 2 ซึ่งจะช่วยเพิ่มเตียงให้บริการอีก 37 เตียง และเริ่มให้บริการได้ตั้งแต่ช่วงต้น 3Q67 และ 5) อัตราภาษีจะลดลงจากสิทธิ BOI ของโครงการ Cath Lab และการขยายการลงทุนของ รพ.วัฒนแพทย์ อ่าวนาง

ความเห็น เรามีมุมมองบวกต่อแนวโน้มการเติบโตในปี 67 คาดจะเติบโตดีตั้งแต่ 1Q67 เป็นต้นไป โดยเฉพาะรพ.วัฒนแพทย์ สมุย ที่จะเติบโตในอัตราเร่ง ส่วนความคืบหน้าของ รพ.คูน อ่าวนาง จะเริ่มก่อสร้างต้นปีนี้ และเปิดให้บริการช่วงปลายปี 68 จะมาช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคต อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PE 54x สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 25-30x จึงแนะนำ “เก็งกำไร”

หุ้นมีข่าว

(+) NEX (Bloomberg consensus 14.25 บาท) จับมือ วารุกะ 888 ส่งมอบรถหัวลากไฟฟ้า ให้บริษัทย่อย PTTGC จีซี - เอ็ม พีทีเอ ใช้ขนส่งกรดเทเรพธาลิกบริสุทธิ์ด้วยพลังงานสะอาด 100% เร่งลดก๊าซเรือนกระจก ฝุ่น PM2.5 ตอบโจทย์ Circular Economy ชี้ประหยัดเชื้อเพลิง-ค่าบำรุงรักษา ด้าน NEX ชูอุตสาหกรรมคำนึงสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพแข่งขัน (ที่มา ทันหุ้น)

(+) BE8 (Bloomberg consensus 37.35 บาท) ลั่นปีนี้เติบโตแข็งแกร่งรับอานิสงส์เมกะเทรนด์โลก ชี้องค์กรทั้งภาครัฐ-เอกชน มุ่งสู่ยุค Digital Transformation เต็มรูปแบบ โดยเฉพาะด้าน "Virtual Bank-Cyber Security" ฟากผู้บริหารตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 40% พร้อมจับมือพันธมิตรลงทุนต่างแดนต่อเนื่อง (ที่มา ทันหุ้น)

(+) MENA (Bloomberg consensus 2.70 บาท) ลั่นภาพรวมธุรกิจปี 2567 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง รับอานิสงส์จากอุตสาหกรรมก่อสร้างฟื้นตัวขานรับงบประมาณปี 2567 ของรัฐบาล การท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจากนโยบายฟรีวีซ่าของรัฐบาล หนุนธุรกิจรถมิกเซอร์สดใส วางงบลงทุน ครึ่งปีแรกประมาณ 130 ล้านบาท ขยาย Fleet รถเพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง (ที่มา ทันหุ้น)

(+) TNP (ราคาเหมาะสม 4.72 บาท) เดินหน้าขยายอาณาจักรค้าปลีกโซนภาคเหนือ ตั้งเป้ารายได้โต 10-15% แย้มไตรมาส 1/2567 รับนโยบายภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ และกำลังซื้อ พร้อมเดินหน้าขยายอีก 6 สาขา หนุนสิ้นปีมี 51 สาขา เตรียมเปิดแฟล็กชิปสโตร์ ขนาด 1,000 ตร.ม. ทำเลทอง เดือนมีนาคมรองรับการเติบโตในอนาคต (ที่มา ทันหุ้น)

(+) ความเห็น เรามีมุมมองบวกต่อข่าวดังกล่าว โดยเป้าหมายการเติบโตดีกว่าที่เราคาดไว้ที่ราว 9% จากแผนขยายสาขา Aggressive ขึ้นเป็น 6 สาขา ซึ่งเดิมคาดที่ 4 สาขา และแนวโน้ม 1Q67 คาดจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ จากมาตรการ Easy e-receipt ช่วยหนุน โดยเราแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 4.72 บาท อัพไซต์ 45% และ Yield ราว 2-3% ต่อปี (เตรียมปรับประมาณการเชิงบวก)