วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ PFund-REITs-IFF ดูน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรถึงจุดสูงสุดแล้ว

วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ PFund-REITs-IFF ดูน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรถึงจุดสูงสุดแล้ว

หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราคิดว่าอัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรที่ระดับปัจจุบันน่าจะอยู่ในช่วงสูงสุดแล้ว

โดยในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยซึ่งอยู่ที่ 2.5% ในเดือนธันวาคม 2566 และคาดกันว่าจะทรงตัวในปี 2567F ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีอยู่ที่ 2.668% ต่อปี (ณ วันที่ 30 มกราคม) ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีอยู่ที่ประมาณ 4.06% ต่อปี ลดลงมาจากระดับสูงสุด (>4.5%) โดยสรุปแล้ว ภาพในเชิงเศรษฐกิจมหภาคทำให้เกิดภาวะตลาดที่เป็นบวกกับนักลงทุนที่มองหาอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ (สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและสหรัฐ) สำหรับในปี 2567 เราคิดว่าประเด็นการขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะแผ่วลงไปทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล YTD ของกลุ่ม REITs อยู่ที่ 6.14% สูงกว่าผลตอบแทนจากดัชนี SET (3.20%) และอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี (2.68%) อย่างมีนัยสำคัญ

 

จีน และ ไทย เข้าสู่ยุค "Visa-free Era"

ก่อนหน้านี้ นักเดินทางชาวจีน (นักท่องเที่ยว, นักธุรกิจ และนักเรียน) สามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ง่ายขึ้นโดยปราศจากข้อจำกัด หลังจากที่ทั้งสองประเทศกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยเมื่อวันที่ 28 มกราคม นาย Wang Yi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย จัดแถลงข่าวร่วมกันหลังร่วมการประชุมหารือประจำปี โดย highlight สำคัญจากงานนี้คือในปีหน้าจะครบรอบ 50 ปีองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของประเทศไทย-จีน นาย Wang Yi โดยจีนมองไทยเป็นมิตรประเทศอันดับต้น ๆ ในเชิงการทูตกับประเทศเพื่อนบ้าน และประทับใจที่ประเทศไทยสนับสนุนหลักการจีนเดียว (one-China) อย่างมั่นคง และให้การสนับสนุนสามความริเริ่มหลักในระดับโลกที่เสนอโดยประธานาธิบดี Xi Jinping 

 

 

 

ทั้งนี้จีนและไทยกำลังจะเข้าสู่ยุค "visa-free era" จากการที่ทั้งสองประเทศเพิ่งลงนามในข้อตกลงร่วมกันที่จะยกเว้นวีซ่าให้กับพลเมืองของทั้งสองประเทศ

กลุ่มโรงแรมและค้าปลีก: จะได้อานิสงส์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน

แม้มีการคาดว่า นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเที่ยวประเทศไทยในปีนี้ในอัตราที่ต่ำกว่าที่คาดก่อนหน้านี้ แต่พัฒนาการล่าสุด เราคิดว่า โรงแรม และค้าปลีกในกลุ่ม PFund-REITs-IFF จะได้รับผลบวก โดยผลประกอบการของกลุ่มโรงแรมจะดีขึ้นจาก RevPar และ occupancy rate ที่เพิ่มขึ้นในอีกสองสามปีข้างหน้า ได้แก่ GROREIT และ LHHOTEL รวมทั้งคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มปริมาณลูกค้าและกำลังซื้อในกลุ่มค้าปลีกด้วย ได้แก่ CPNREIT และ ALLY

เพิ่ม LHHOTEL เข้ามาเป็นอีกหนึ่งกองเด่นของเรา

เมื่ออิงจากคำแนะนำของนักวิเคราะห์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของ KGI ทำให้เราชอบ LH Hotel Leasehold REIT (LHHOTEL.BK/LHHOTEL TB) ซึ่งเป็นกองทุน REIT ของธุรกิจโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของ market cap และ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยโรงแรมชั้นนำห้าแห่ง (3 แห่งในกรุงเทพ และอีก 2 แห่งที่พัทยา) ภายใต้แบรนด์ Grande Centre Point ทั้งนี้ กำไรสุทธิในงวด 9M66โตถึง 177% YoY และคาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในปีหน้าหลังจากที่กองทุนเพิ่งเข้าซื้อโรงแรมสองแห่งที่พัทยา โดยคาดว่าอัตราผลตอบแทนจาก DPU ในปี 2566F-2567F จะอยู่ที่ปีละ 10% ในขณะที่ยังมี discount จาก NAV ประมาณ 0.8%

Recommendation

กองเด่นของเราในปัจจุบันได้แก่ i) กองเด่นระดับแนวหน้า: CPNREIT, WHAIR และ AMATAR และ ii) กองเด่นระดับรอง: ALLY, GROREIT และ LHHOTEL

Risks

COVID-19 ระบาด, เศรษฐกิจชะลอตัวลง, การเมืองขาดเสถียรภาพ

 

 

 

 

วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ PFund-REITs-IFF ดูน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรถึงจุดสูงสุดแล้ว

วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ PFund-REITs-IFF ดูน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรถึงจุดสูงสุดแล้ว