วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ SET อาจลบ แต่ยังเห็นโมเมนตัมเก็งกำไรเชิงบวกในหุ้นรายตัว

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ SET อาจลบ แต่ยังเห็นโมเมนตัมเก็งกำไรเชิงบวกในหุ้นรายตัว

คาดนักลงทุนสถาบันในประเทศมีบทบาทกับตลาดมากขึ้นในช่วงท้ายปี นักลงทุนสถาบันต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,317 ล้านบาท และซื้อสะสมในช่วง ธ.ค.ที่ผ่านมา 6,455 ล้านบาท

ซึ่งกิจกรรมการลงทุนที่มากกว่านักลงทุนต่างประเทศที่ขายสุทธิวานนี้ 80 ล้านบาท ขายสะสมธ.ค. 1,779 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศมีแนวโน้มเป็นผู้กำหนดทิศทางและบรรยากาศการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้การใช้สิทธิ์ลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีในกองทุน Thai ESG Fund (TESG) คาดจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้แรงซื้อของนักลงทุนในสถาบันในประเทศ จะยังเป็นปัจจัยหลักในการประคองดัชนีช่วงปลายปี 

เริ่มเห็น Window dressing ในหุ้นที่ Laggard หรือ Underperform มากนับจากต้นปี กลุ่มหุ้นที่ปรับขึ้นเด่นวานนี้หลายตัวเป็นหุ้นในกลุ่ม SET50 ที่ Laggard ในปีนี้ ซึ่งมีโอกาสเป็นเป้าหมายการทำ Window dressing ขณะที่อาจเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อของกองทุน TESG โดยหุ้น 10 อันดับที่ YTD performance แย่สุดได้แก่ EA (-53.87%), BANPU (-51.82%), AWC (-43.49%), SCGP (-35.96%), TLI (-34.56%), GPSC (-33.56%), COM7 (-32.94%), IVL (-31.90%), BGRIM (-30.19%), TRUE (-29.14%) หุ้นใหญ่อื่นที่ยัง underperform SET Index ได้แก่ RATCH, EGCO, CSP, OSP, AOT, CPALL, CBG
 

หุ้นขนาดกลาง-เล็ก มีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัวได้ดี หุ้นกลางและเล็กเริ่มอยู่ในจุดที่ผลตอบแทนและ Valuation เริ่มมีความจูงใจ ทำให้เราประเมินจะเห็นการเคลื่อนไหวที่ดีในกลุ่มเหล่านี้ในช่วงที่ตลาดไม่มีความเคลื่อนไหวจากเงินทุนต่างชาติที่ชัดเจน หุ้นในโซนล่างที่น่าสนใจ และมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงสั้น ได้แก่ SVT, PSP, FORTH, FSMART, KEX (ควรเก็งกำไรแบบกำหนดจุเดตัดขาดทุน) 

ภาพรวมกลยุทธ์  แกว่งตัว 1,390-1,410 จุด โดยยังมองการฟื้นในหุ้นรายตัวจะทำให้ตลาดมีโอกาสขึ้นทดสอบ 1,430 จุด ในช่วงสิ้นปี กลุ่มหุ้นที่กระแสเงินสดดีและปันผลสูง ค่อนข้างยืนได้ดีและแข็งแกรงกว่าภาพรวม จะเป็นตัวประคองตลาด และอาจทำให้หุ้นกลางหุ้นเล็ก รวมถึงหุ้นไวต่อดอกเบี้ย ฟื้นได้ดีในช่วง 2 เดือนนี้

หุ้นแนะนำ: CPALL*, ADVANC*, GUNKUL*, BSRC*

แนวรับ: 1,390 / แนวต้าน : 1,405 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

 

 


 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ

แบงก์ชาติขยับเกณฑ์อุ้มลูกหนี้ คุมดอกเบี้ยผิดนัด “น็อนแบงก์-P2P”- ธปท.ขยายเกณฑ์ “คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้-การตัดชำระหนี้” ครอบคลุมธุรกิจ “P2P-น็อนแบงก์บัตรเครดิต” ตีกรอบห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดเกิน 3% ต่อปี (ประชาชาติ) 

บอร์ดค่าจ้าง ยืนมติเดิม “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” แค่ 2-16 บาท ดูใหม่ปี 2567– ที่ประชุมไตรภาคี มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ยึดมติคณะกรรมการครั้งก่อน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ในการเห็นชอบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นอัตราวันละ 2-16 บาท สูงสุด 370 บาท (กรุงเทพธุรกิจ)

คลังแจงรายละเอียดเงื่อนไขมาตรการ Easy e-Receipt - บุคคลธรรมดา สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าและบริการ จากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือผู้ประกอบการทั่วไป ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.67 โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบ 70,000 ล้านบาท หรือกระตุ้น GDP ปี 67 ให้เพิ่มขึ้นอีก 0.18% เมื่อเทียบกับไม่มีมาตรการ (อินโฟเควสท์)

รัฐฯ ยังไม่ต่ออายุ ‘ประกาศนำเข้ากากถั่วเหลือง’ - ภาคปศุสัตว์เตรียมรับผลกระทบหนัก หลัง“ประกาศนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลือง” ปี 2563-2566 กำลังจะสิ้นสุด 31 ธันวาคมนี้ แม้มีกำหนดต่ออายุประกาศทุกๆ 3 ปี แต่ไม่เสนอให้คณะรัฐมนตรี( ครม.) พิจารณาหวั่น นำเข้าไม่ทันการณ์ ไม่มีวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ เดือดร้อนทั้งระบบ (กรุงเทพธุรกิจ)

'คมนาคม' รับงบปี 2567 ดีเลย์ ทำโครงการลงทุนครึ่งปีแรกสะดุด - หลัง พรบ.งบประมาณล่าช้า สั่งทุกหน่วยงานร่างเอกสารประกวดราคาเตรียมพร้อม หวังลดระยะเวลาดำเนินการ ขณะที่ “แลนด์บริดจ์” ยังเป็นพระเอกขับเคลื่อนการลงทุน จ่อโรดโชว์ต่อเนื่องจีน - ตะวันออกกลาง ก่อนเปิดประมูลปี 2568 (กรุงเทพธุรกิจ)

JAS ติด Cash Blance – ตลท. จับ JAS ติดแคชบาลานส์ เริ่ม 21 ธ.ค. 66 – 10 ม.ค. 67    

TESG - ในกลุ่มที่มี ESG rating AAA และ AA ที่มีโอกาสเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อ ได้แก่ ADVABC, BCP, CPALL, CPAXT, CPF, CRC, PTT, SCGP, TISCO, BCPG, BDMS, CPN, EA, EGCO, MAJOR, RATCH, SCB เป็นต้น

 

ประเด็นติดตาม: 21 ธ.ค. - US GDP (Q3), Initial Jobless Claims, Philadelphia Fed Manufacturing Index/ 22 ธ.ค. - US Core PCE, New Homes Sales

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)