วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ลุ้น FOMC Minute
ทางเทคนิค คาด SET Index เคลื่อนไหวสูงขึ้น แนวต้าน 1,431/1,441 จุด แนวรับ 1,415/1,408 จุด (EMA 25 วัน/EMA 10 วัน) ทั้งนี้ ดัชนีฯ อยู่ระหว่างทางเลือกว่าจะยังคงเป็นรูปแบบขาขึ้น W-Shape (เป็นสัญญาณซื้อ หากยืนเหนือ 1,431 จุด ได้)
หรือเปลี่ยนกลับมาเป็นรูปแบบขาลง (M-Shape) หากดัชนีฯ ไม่ผ่าน 1,431 จุด และหลุดแนรับ 1,378 จุด
ประเด็นสำคัญวันนี้ ได้แก่
+/-3Q23 Earnings Results: บจ.ในต่างประเทศ ที่น่าสนใจ ได้แก่ NVIDIA คาด USD3.36 Vs เดิม USD0.58 ซึ่งเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดปีนี้ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรายงานกำไรที่ดีกว่าคาด หรือส่งสัญญาณ Positive Earnings Guidance จะเป็นโมเมนตัมบวกต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและทางอ้อมต่อกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ในทางตรงกันข้ามจะเป็นลบ หากมีสัญญาณเชิงลบ) ส่วนบจ.อื่น ๆ ได้แก่ Lowe’s คาด USD3.02 Vs เดิม USD3.27; Dells Technologies คาด USD1.46 Vs เดิม USD2.30 Baidu คาด USD17.11 Vs เดิม USD16.87
+ผลประชุมครม.: คาดเป็นโมเมนตัมบวกต่อตลาดหุ้นไทย กลุ่มอิงการบริโภคในประเทศ และหุ้นอิงดัชนี SET ESG โดยคาดว่าที่ประชุมครม. จะมีมติออกมาตรการ 1. E-Refund (คล้ายมาตรการช้อปดี มีคืน) สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 หมื่นบาท โดยต้องซื้อสินค้าที่ได้ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2024 2. การจัดตั้งกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี Thai ESG ทั้งตราสารหนี้และตราสารทุน โดยต้องถือ 8 ปี และสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 1 แสนบาท คาดส่งผลบวกต่อหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ที่มียิลด์ปันผลสูงในช่วง 2H23E อาทิ WHAUP TISCO KTB TOP KBANK PTT WHA
ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญวันนี้ ได้แก่
+US FOMC Minute: เราคาดว่าสัญญาณจากผลประชุมเฟดครั้งที่ผ่านมา เฟดส่วนใหญ่ยังคงส่งสัญญาณว่าปัจจัยที่มีผลต่อการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย จะอิงจาก Data Dependent (เงินเฟ้อ การตึงตัวของการจ้างงาน การขยายตัวของเศรษฐกิจ) ซึ่งทำให้โอกาสสูงที่ผลประชุมเฟดครั้งถัดไปในวันที่ 13 ธ.ค. จะพิจารณาคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม 5.25-5.5% หากอิงจาก US CPI, PPI มีสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง การเติบโตของเศรษฐกิจ 4Q23E GDP Growth ชะลอตัวเหลือ +2.2% QoQ จาก +4.9% QoQ ใน 3Q23 และตลาดแรงงานเริ่มผ่อนคลายความ ตึงตัว ซึ่งสอดคลัองกับ ผลสำรวจผจก.กองทุนโลกเดือน พ.ย. ของ Bank of America พบว่า 76% ของผลสำรวจ คาดว่าขาขึ้นของดอกเบี้ยเฟดสิ้นสุดลงแล้ว และ 80% คาดว่าดอกเบี้ยระยะสั้น มีแนวโน้มปรับลดลงในปี 2024 (Figure 1) ส่งผลบวกต่อสินทรัพย์ Bonds (Overweight สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2009 ที่ 19% Overweight จากเดือนก่อน 1% Overweight) Equities (กลับมา Overweight ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2022 ที่ระดับ 2% Overweight จากเดือนก่อน 4% Underweight) (Figure 2)
+/-US: Existing Home Sales เดือน ต.ค. Consensus คาดเติบโต -1.3% MoM เป็น 3.93 ล้านหลัง ดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเดือน ก.ย. ที่หดตัว -2% MoM เป็น 3.96 ล้านหลัง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2010 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ย Mortgage Loan ที่ปรับขึ้นแรง
-RBA Minute: ผลประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย คาดว่าจะมีความเห็นเกี่ยวกับปัจจัยสนับสนุนการกลับมาปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก 0.25% เป็น 4.35% หลังจากคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิม 4 ครั้งก่อนหน้า เป็นผลจากตัวเลขเงินเฟ้อในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พลิกกลับมาปรับสูงขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่ลดลงมาที่กรอบเป้าหมาย 2-3% อย่างที่คาดการณ์ (คาดเงินเฟ้อปี 2024 จะลดลงมาอยู่ที่ 3.5% ก่อนลงมาที่บริเวณ 2-3% ในช่วงสิ้นปี 2025) ดังนั้น ธนาคารกลางออสเตรเลียอาจมีการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีกในอนาคต ขึ้นอยู่กับสภาวะเงินเฟ้อและความเสี่ยงของเศรษฐกิจ
กลยุทธ์ลงทุน แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่มีประเด็นบวกจากมาตรการของรัฐ TIDLOR CPALL ILM
Strategic daily picks
TIDLOR ปิด 22.70 บาท/แนวรับ 21.60 บาท แนวต้าน 23.10 บาท
รายงานกำไรสุทธิ 3Q23 ที่ 1,007 ล้านบาท (+12% YoY, +9% QoQ) ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ 5% โดยมีสาเหตุจากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อและการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม ขณะที่ QoQ เติบโตจากพอร์ตสินเชื่อและค่าใช้จ่ายสำรองที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่ารายได้ KTX คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าเหมาะสม 24.42 บาท (วิธี Earning Yield ด้วยผลตอบแทนคาดหวัง 6.3%) โดยคาดกำไรจะเติบโตเฉลี่ย 8.5% ต่อปี ในปี 2023-25E จากสินเชื่อที่คาดเติบโตเฉลี่ยปีละ 17.4% และ credit costs ที่มีแนวโน้มลดลง
CPALL ปิด 56.00 บาท/แนวรับ 54.50 บาท แนวต้าน 58.00 บาท
รายงานกำไรสุทธิ 3Q23 ที่ 4.42 พันล้านบาท (+20.32% YoY) และรายได้รวม 2.26 แสนล้านบาท (+6% YoY) เป็นผลจากการปรับขึ้นของรายได้จากการขายและบริการของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจสนับสนุนอื่น ที่มีการเติบโตดีขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก Bloomberg Consensus ประมาณการกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 1.73 หมื่นล้านบาท (+30.06% YoY) และมูลค่าเหมาะสมที่ 74.35 บาท
ILM ปิด 24.40 บาท/แนวรับ 23.60 บาท แนวต้าน 25.25 บาท
รายงานผลการดำเนินงาน 3Q23 มีกำไรสุทธิรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัตการณ์ที่ 191.5 ล้านบาท (+25.5% YoY) และรายได้รวม 2.42 พันล้านบาท (+8.9% YoY) โดยรายได้จากการขายเติบโต 10.1% YoY จากช่องทางร้านค้าปลีกของบริษัทเป็นหลัก โดยเฉพาะการเติบโตของสาขาในจังหวัดสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ขณะที่รายได้จากการให้เช่าและบริการเติบโต 2.0% YoY Bloomberg Consensus ประมาณการกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 714.33 ล้านบาท (+8.39% YoY) และมูลค่าเหมาะสมที่ 27.34 บาท