วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นไทยหลุด 1,400 จุด รับแรงกดดันจากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นไทยหลุด 1,400 จุด รับแรงกดดันจากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ 

จับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ สัปดาห์นี้คาดตลาดหุ้นโลกผันผวน โดยหลักๆ ยังถูกกดดันจาก 1) อัตราผลตอบแทนสหรัฐฯ ที่ทรงตัวในระดับสูง แม้จะชะลอลงเล็กน้อยหลังจากปรับตัวขึ้นแตะระดับ 5% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 ที่เคยเกิดวิกฤติสินเชื่อ

เป็นผลจากท่าทีการดำเนินนโยบายทางการเงินของเฟดที่เข้มงวด และสถานะทางการคลังของสหรัฐฯ ที่ขาดดุลอย่างต่อเนื่อง โดยขาดดุลมากขึ้น +23% จากปี 2022, 2) การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เช่น GDP และ Core PCE รวมถึง ถ้อยแถลงจากประธานเฟด โดยหากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่ง และเงินเฟ้อมีการดีดตัวขึ้น อาจทำให้เฟดเลือกใช้นโยบายทางการเงินที่ตึงตัวต่อไป, 3) การแถลงนโยบายทางการเงินของ ECB และ 4) การยืดเยื้อของสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส 

ลุ้นผลประกอบการบจ.ไทยและตัวเลขส่งออก แม้ตลาดหุ้นไทยจะหลุดระดับ 1,400 จุด ต่ำสุดในรอบ 3 ปี คาดว่า ระยะสั้นจะได้รับปัจจัยบวกบ้างจาก 1) ผลประกอบการใน 3Q23 ที่เริ่มทยอยประกาศโดยเฉพาะในกลุ่มธนาคาร รวมถึงกลุ่มที่กำไรน่าจะออกมาดี ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม การแพทย์ และท่องเที่ยว และ 2) ตัวเลขส่งออก โดยคาดว่า จะหดตัวเล็กน้อย -1.75% YoY จาก +2.57% YoY ในเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขบวกครั้งแรกในรอบปี และคาดว่า อาจเห็นสัญญาณแนวโน้มการฟื้นตัวของบางกลุ่มธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า ตลาดหุ้นไทยที่ระดับปัจจุบันได้สะท้อนข่าวร้ายเข้าไปค่อนข้างมากแล้ว หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยเริ่มชะลอลง และมีการปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรของบจ.ไทย จะช่วยให้ความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้นกลับมา โดย Earnings yield gap (EYG) ปัจจุบันอยู่ที่ -1 S.D. ซึ่งมีโอกาสที่จะดีดตัวกลับและช่วยให้หุ้นไทยเข้าสู่ช่วง Rally ได้ 
 

ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัวในกรอบ 1,380 – 1,430 จุด หุ้นที่ลงเยอะจากการขายชอร์ต อาจเป็นเป้าหมายของการซื้อคืน ขณะที่ภาพการเก็งกำไรยังเน้นกลุ่มได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่าทั้งทางตรง (อิเล็กทรอนิกส์และอาหาร) และทางอ้อม (การแพทย์และท่องเที่ยว)

หุ้นแนะนำ: BCP*, BDMS*, TLI*, GFC*

แนวรับ: 1,380 / แนวต้าน : 1,430 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ

นักลงทุนเทน้ำหนักคาดเฟดคงดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายปีนี้ -  FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 98.4% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. และให้น้ำหนัก 74.6% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 12-13 ธ.ค. หลังจากให้น้ำหนักเพียง 57.7% เมื่อเดือนที่แล้ว โดย ตลาดแรงงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องชะลอตัวลงเพื่อให้เฟดบรรลุเป้าหมาย

ราคาน้ำมัน WTI ร่วงเกือบ 1% จับตาแนวทางการทูตดับไฟสงคราม - ผู้นำของสหรัฐ แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ร่วมคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ขณะที่อิสราเอลชะลอการใช้ปฏิบัติการภาคพื้นดินในการโจมตีฉนวนกาซาเพื่อเปิดช่องทางการเจรจาทางการทูตสำหรับการปล่อยตัวประกัน นอกจากนี้ จับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของ API และรายงานจาก EIA ซึ่งจะบ่งบอกถึงแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบ
 

PTT ปรับเปลี่ยนตำแหน่งบอร์ด – โดยในคณะกรรมการสรรหา มีการแต่งตั้งนายผยง ศรีวณิช กรรมการอิสระ เป็นประธานกรรมการ (เปลี่ยนแปลงตำแหน่ง) และนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร กรรมการอิสระ เป็นกรรมการ (แต่งตั้งใหม่)

ITEL เล็งโอกาสเฮลธ์เทค – ITEL ประกาศเข้าซื้อกิจการ "Global Lithotripsy Services" หลังเล็งเห็นศักยภาพเติบโตใน Health Tech ระบุเริ่มบันทึกรายได้ 4Q23 ทันที

TFG ราคาหมูฟื้นดันยอดโต - TFG มองแนวโน้ม 4Q23 ราคาหมูกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง ย้ำประมาณการรายได้ปีนี้ 10-15% ตามเป้า เดินหน้าขยายร้านค้าปลีก "ไทยฟู้ดส์ เฟรช มาร์เก็ต" ต่อเนื่องในปี 2024 เพิ่มเป็น 500-550 สาขา มองเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง สนับสนุนการเติบโตได้ในระยะยาว

TRP – เข้าซื้อขายใน mai ในวันนี้ (24 ต.ค.) ซึ่งประกอบกิจการสถานพยาบาลด้านคลินิกเวชกรรม (ธีรพรคลินิก) เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 90 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 14 บาท 

 

ประเด็นติดตาม: 24 ต.ค. - S&P Global US Services PMI/ 25 ต.ค. - New Home Sales (Sep) /26 ต.ค. - ECB Interest Rate Decision (Oct), US Core Durable Goods Orders (MoM) (Sep), US GDP (QoQ) (Q3), US Initial Jobless Claims, Pending Home Sales (MoM) (Sep)

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)