วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Energy Sector กลุ่มโรงกลั่นมีแนวโน้มสดใส

วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Energy Sector กลุ่มโรงกลั่นมีแนวโน้มสดใส

ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานที่ Neutral โดยเลือก Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* และ StarPetroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)* เป็นหุ้นเด่นสองตัวในกลุ่ม

ตลาดน้ำมันดิบ: ซาอุดิอารเบียและรัสเซียขยายเวลาลดการผลิตโดยสมัครใจไปถึงเดือนธันวาคม 2566

เรายังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2566F เอาไว้ที่ US$85/bbl แต่ปรับเพิ่มสมมติฐานราคาปี 2567F จากเดิม US$70/bbl เป็น US$75/bbl เนื่องจากซาอุดิอาระเบียและรัสเซียขยายเวลาลดการผลิตโดยสมัครใจ 1MBD และ 300KBD ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งความร่วมมือระหว่างสองประเทศสมาชิกที่ใหญ่ที่สุดของ OPEC+ ในการลดอุปทานน้ำมันดิบน่าจะดำเนินต่อเนื่องไปถึงปีหน้าเพื่อสนับสนุนตลาดน้ำมันดิบต่อไป ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบดูไบพุ่งสูงขึ้น 10% QoQ เป็น US$86/bbl QTD เนื่องจากอุปทานในตลาดโลกตึงตัวขึ้น โดยในเดือนกันยายน อุปทานของ OPEC+ ลดลงรวม
4.96MBD (ประมาณ 4.9% ของอุปสงค์น้ำมันดิบทั้งโลก) แบ่งเป็น i) การลดการผลิตของกลุ่ม 2MBD ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2565 – ธันวาคม 2567, ii) การลดการผลิตโดยสมัครใจของกลุ่ม 1.66MBD ในช่วงกลางปี 1H66 – ธันวาคม 2567 และ iii) การลดการผลิตโดยสมัครใจของซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย 1MBD และ 300KBD ในช่วงเดือนกันยายน 2566 – ธันวาคม 2566 แต่อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบอาจจะถูกกดดันจากสองปัจจัยลบได้แก่ i) ความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศตะวันตกปีหน้า และ ii) การผลิตน้ำมันของกลุ่ม non-OPEC+ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากสหรัฐ และอุปทานที่เพิ่มขึ้นประมาณ 900KBD จากอิรัก, ไนจีเรีย, อิหร่าน, ลิเบีย และเวเนซูเอล่า

 

ตลาดโรงกลั่น: เรายังคงมองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่น

เราปรับเพิ่มสมมติฐาน spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลในปี 2566F เป็น US$17.5/23.0/23.0/bbl และในปี 2567F เป็น US$13.0/20.0/20.0/bbl ตามลำดับ

เนื่องจาก i) อุปทานตึงตัวในช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม เพราะโรงกลั่นทั่วโลกมีการปิดซ่อมบำรุงนอกแผน (โรงกลั่น Bayton ของ P66, โรงกลั่น Pernis ของ Shell, โรงกลั่น Galveston ของ Marathon, โรงกลั่น Corpus Christi ของ Valero และโรงกลั่น Baton Rouge ของ ExxonMobil) และ ii) สต็อกน้ำมันกลุ่ม middle distillate อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ เรายังคาดว่าค่าการกลั่นจะพุ่งสูงขึ้น QoQ ใน 3Q66F หลังจากที่ spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซล QTD ไต่ระดับขึ้นไปอยู่ที่ US$19.5/bbl (+17% QoQ),US$26.2/bbl (+87% QoQ) และ US$25.2/bbl (+84% QoQ) ตามลำดับ นอกจากนี้ เรายังคาดว่าค่าการกลั่นจะแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 4Q66F-1Q67F จากอุปสงค์น้ำมันดีเซลที่สูงตามฤดูกาลในหน้าหนาว แต่อย่างไรก็ตาม เราแนะนำให้นักลงทุนติดตามกำหนด COD ของโรงกลั่นใหม่ Dangote ในประเทศไนจีเรีย กำลังการผลิต 650KBD ใน 2Q67F อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะทำให้อุปทานใหม่ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นถึง 1.8MBD ในปี 2567F ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของอุปสงค์โลกที่ 1.6MBD เล็กน้อย

 

ตลาดปิโตรเคมี: จะมีอุปทาน polyolefins ใหม่ท่วมทะลักเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก

เราปรับลดสมมติฐาน spread HDPE และ PP ในปีนี้ลงเหลือ US$400/370/ton และปีหน้าลงเหลือ US$450/400/ton เพราะจะมีอุปทาน PE ใหม่เพิ่มขึ้นมาในปี 2566F อีก 7.3MTA และในปี 2567F อีก 4.0MTA และจะมีอุปทาน PP ใหม่เพิ่มเข้ามาในปีนี้อีก 7.6MTA และปีหน้าอีก 7.2MTA ทั้งนี้ใน 3QTD66 spread ของ HDPE ลดลง 9% QoQ หลือ US$396/ton และ spread ของ PP ลดลง 15% QoQ เหลือ US$331/ton ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำมาก (ต่ำกว่า US$500/ton และ US$550/ton ตามลำดับ)

 

นอกจากนี้ เรายังคาดว่า spread ของทั้งสองผลิตภัณฑ์จะยังอยู่ในระดับต่ำใน 4Q66F สำหรับตลาด polyester นั้น spread ของ PET ในตลาดเอเชียรายสัปดาห์ในช่วงต้นเดือนกันยายนลดลงอย่างมากเหลือเพียง US$24/ton ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี เนื่องจากจะมีอุปทาน PET ใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดโลกมากถึง
3.2MTA ในปี 2566F (ส่วนใหญ่มาจากจีน) ซึ่งสูงกว่าในปี 2564 ที่ 1.2MTA และปี 2565 ที่ 1.0MTA อย่างมาก นอกจากนี้ เราเชื่อว่า spread ของ PET จะยังต่ำต่อเนื่องใน 4Q66F เนื่องจากอุปสงค์ PET มักจะต่ำตามฤดูกาลในช่วงหน้าหนาว ดังนั้นเราจึงยังคงมองลบกับตลาดปิโตรเคมี โดยเฉพาะ polyolefins และ polyesters

 

คาดว่ากำไรใน 3Q66F ของโรงกลั่นหกแห่งในประเทศไทยจะพุ่งสูงขึ้นทั้ง YoY และ QoQ
เราคาดว่าบริษัทโรงกลั่นในประเทศหกแห่งได้แก่ Star Petroleum Refining (SPRC.BK/SPRC TB)*, ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO)*, Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)*, Bangchak Corporation (BCP.BK/BCP TB)*, PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC)* และ IRPC Pcl. (IRPC.BK/IRPC TB)* จะมีกำไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้ง YoY แล QoQ ใน 3Q66F เนื่องจากค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นและกำไรจากสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในงวด 3QTD66 spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ US$19.5/bbl (+17% QoQ), US$26.2/bbl (+87% QoQ) และ US$25.2/bbl (+84% QoQ) ตามลำดับ ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้น 10% QoQ เป็น US$86/bbl

Valuation and action

เพิ่ม TOP และ SPRC เข้ามาในพอร์ตหุ้นเด่นกลุ่มพลังงานของเรา
เราชอบตลาดโรงกลั่นมากกว่าตลาดอื่นเพราะ i) คาดว่าผลประกอบการใน 3Q66F จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และ ii) ค่าการกลั่นดีต่อเนื่องใน 4Q66F จากอุปสงค์น้ำมันดีเซลที่สูงตามฤดูกาลในหน้าหนาว เราเชื่อว่า SPRC, ESSO, TOP และ BCP จะได้อานิสงส์เพราะสัดส่วนกำไรจากธุรกิจโรงกลั่น เมื่อเทียบกับกำไรจากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ประมาณ 100%, 80%, 60% และ 50% ตามลำดับ นอกจากนี้ เรายังเพิ่ม TOP และ SPRC เข้ามาในพอร์ตหุ้นเด่นกลุ่มพลังงงานของเรา เพราะคาดว่าการ
ปิดซ่อมบำรุงทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 (SBM-2) ของ TOP โดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2566 และทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล (SPM) ของ SPRC เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 จากกรณีน้ำมันรั่ว จะดำเนินการแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ TOP สามารถบริหารจัดการกับกรณีน้ำมันรั่วได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงไม่พบน้ำมันรั่วอีกจากการสำรวจทั้งทางอากาศและทางทะเล ทำให้มีโอกาสที่จะกลับมาเปิดดำเนินการ SBM-2 ได้อีกครั้งในอีกสองสามเดือน
ข้างหน้าหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน นอกจากนี้ ผู้บริหารของ SPRC ยังมีแผนจะกลับมาเปิดดำเนินการ SPM อีกครั้งภายใน 4Q66 สำหรับกรณีของ ESSO เราเชื่อว่าราคาหุ้นอาจจะเผชิญแรงกดดันในช่วงวันที่ 8 กันยายน – 12 ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ BCP ทำ tender offer หุ้น ESSO จากผู้ถือหุ้นส่วนน้อย นอกจากนี้ เรายังปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น BCP จากถือเป็นซื้อ เพื่อสะท้อนถึงการที่ผู้บริหารของ BCP สามารถแสดงผลประโยชน์จากการ synergy ระหว่าง BCP กับ ESSO ได้ชัดเจนมากขึ้น

เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบที่ขยับขึ้นไปเหนือ US$90/bbl ในขณะนี้ จะช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉาะ PTT Exploration & Production (PTTEP.BK/PTTEP TB)* และ PTT Pcl. (PTT.BK/PTT TB)* เรายังคงคำแนะนำซื้อ PTT เนื่องจากคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 2566F-2567F จะแข็งแกร่งที่ 5.7% อิงจากราคาในปัจจุบัน ในขณะที่ยังคงคำแนะนำถือ PTTEP เพราะเหลือ upside จำกัดถึงราคาเป้าหมายของเรา นอกจากนี้ เรายังคงคำแนะนำถือ BANPU เพราะผลกระทบจาก BANPU-W5 ซึ่งจะถึงกำหนดใช้สิทธิ์ในช่วงวันที่ 14 กันยายน – 28 กันยายน แม้ว่าราคาถ่านหิน
Newcastle จะพุ่งสูงขึ้นเป็น US$161/ton เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว จากประมาณ US$130/ton ในเดือนมิถุนายน (ซึ่งน่าจะเป็นระดับต่ำสุดในปีนี้แล้ว)

เรามองกลางๆ กับตลาดสถานีบริการน้ำมันหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลงต่ำกว่า 30 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนเป็นต้นไป จาก 31.94 บาท/ลิตร ในปัจจุบัน โดยจะมาจากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งปัจจุบันเก็บที่ 5.99 บาท/ลิตร และยังคงให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.80 บาท/ลิตร ในขณะที่รัฐบาลยังไม่แตะราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในตอนนี้ นอกจากนี้ ยังมีเวลามากพอ (ถึงวันที่ 20 กันยายน) ให้ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันบริหารสต็อกน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเราจึงคาดว่าประกาศดังกล่าวจะทำให้ผู้ประกอบการมีผลขาดทุนจากสต็อกน้อยมากเมื่อเทียบกับการประกาศแบบมีผลทันที ทำให้เรายังคงคำแนะนำซื้อ PTT Oil and Retail Business (OR.BK/OR TB)* และแนะนำถือ PTG Energy (PTG.BK/PTG TB)*

เรายังไม่ชอบตลาดปิโตรเคมีในตอนนี้ เพราะจะมีอุปทานใหม่เพิ่มเข้ามาเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะ polyolefins และ polyesters เราเชื่อว่าราคาหุ้น PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC)* และ IRPC Pcl. (IRPC.BK/IRPC TB)* จะถูกกดดันจากกำลังการผลิต PE ใหม่ที่จะเพิ่มขึ้น 7.3MTA ในปี 2566F และ 4.0MTA ในปี 2567F และกำลังการผลิต PP ใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาอีกเป็นจำนวนมากถึง 7.6MTA ในปีนี้ และ 7.2MTA ในปีหน้า ถึงแม้เราจะคาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นใน 3Q66F เนื่องจากค่าการกลั่นและกำไรจากสต็อกที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เราคาดว่า spread รายสัปดาห์ของ PET ในเอเชียที่อยู่ในระดับต่ำมาก US$24/ton เท่านั้นในช่วงต้นเดือนกันยายน และอุปสงค์ PET ที่ต่ำตามฤดูกาลในช่วงหน้าหนาว จะกดดันราคาหุ้น Indorama Ventures (IVL.BK/IVL TB).

 

วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Energy Sector กลุ่มโรงกลั่นมีแนวโน้มสดใส