กลยุทธ์การลงทุน มิ.ย. – ภาพใหญ่ยังไม่ชัดเจน เน้นเก็งกำไรหุ้นที่มีประเด็น บวกเฉพาะตัว

กลยุทธ์การลงทุน มิ.ย. – ภาพใหญ่ยังไม่ชัดเจน เน้นเก็งกำไรหุ้นที่มีประเด็น บวกเฉพาะตัว

พอร์ตหุ้นแนะนำเดือน พ.ค. ลดลงถึง 5.7% และอ่อนแอกว่า SET Index พอสมควร

ในเดือนพฤษภาคม 2566 ดัชนี SET ถูกกระทบจากปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยการเมือง ถึงแม้ว่าจะมีการจัดเลือกตั้งไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม และพรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง ส.ส. มากที่สุด แต่ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองอีกหลายประเด็น อย่างเช่น i) สมาชิกวุฒิสภาจะลงมติให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ii) นายพิธาจะถูกตัดสิทธิ์จากข้อกล่าวหากรณีถือหุ้น ITV หรือไม่ และ iii) จะมีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่เป็นมิตรกับตลาดมากน้อยแค่ไหน ในขณะเดียวกัน พอร์ตหุ้นแนะนำของเราให้ผลตอบแทนไม่ดีนัก โดยลดลงถึง 5.7% ในขณะที่ดัชนี SET ลดลงเพียง 0.4% มีเพียงหุ้น BBL* ตัวเดียวเท่านั้นที่ผลตอบแทนเป็นบวก (+3.5%) ในขณะที่ PTG* (-13.2%) และ ERW* (-15.5%) ลดลงมากที่สุดในพอร์ตหุ้นแนะนำ

มุมมองตลาดเดือน มิ.ย. ตลาดน่าจะพักฐานในระยะสั้น ในขณะที่นักลงทุนติดตามปัจจัยสำคัญ อย่างเช่น ผลประชุม FOMC สหรัฐฯ และพลวัตการเมืองไทย

สำหรับในเดือนมิถุนายน เรายังคงมองว่าดัชนี SET จะพักฐานต่อ โดยกระแสเงินทุนจากต่างชาติน่าจะยังชะลอตัว ถึงแม้ว่าสหรัฐน่าจะรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ (default) และมีการทำข้อตกลงขยายเพดานนี้ออกไปอีกสองปี แต่มีความไม่แน่นอนมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ย Fed หลังจากที่ตัวเลขเงินเฟ้อยังทรงตัวค่อนข้างสูง และข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เรามองว่าตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มจะดีขึ้นหลังจากที่ผลการประชุม FOMC มีความชัดเจน และมีการออกประมาณการเศรษฐกิจในวันที่ 14 มิถุนายน สำหรับตลาดไทย ยังถูกถ่วงด้วยประเด็นสุญญากาศทางการเมือง เพราะการตั้ง
รัฐบาลยังไม่เรียบร้อย และยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการลงมติเลือกนายกของ ส.ว. ทั้งนี้ เราใช้ประมาณการ EPS ปี 2566 ที่ปรับใหม่ที่ 102 และ สมมติฐานอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปีที่ 2.60% ทำให้ประเมิน downside ของดัชนี SET ในกรณีฐานที่ 1,478 จุด (EYG ที่ 4.30%, ค่าเฉลี่ย +0.5S.D.) และในกรณีเลวร้ายที่สุดที่ 1,417 จุด (EYG ที่ 4.60%, ค่าเฉลี่ย +1.0S.D.)

 


 

หุ้นแนะนำเดือน มิ.ย. – พอมีจังหวะโอกาสให้เก็งกำไรในหุ้นที่ลงมาก่อนหน้า ตามความกังวลนโยบายภาครัฐ, หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ และหุ้นอาหารบางตัว

เรามองว่ากระแสเงินทุนจากต่างชาติในตลาดหุ้นไทยจะยังคงแผ่วในระยะสั้น จากการที่นักลงทุนติดตามสองปัจจัยสำคัญ ซึ่งได้แก่ i) สถานการณ์การเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป และ ii) US Fed จะกำหนดท่าทีนโยบายการเงินสหรัฐอย่างไรต่อไป ดังนั้น เราคาดว่าหุ้นตัวหลักๆ ของตลาดยังขาดปัจจัยกระตุ้น และแนะนำให้นักลงทุนเน้นเลือกหุ้นแบบ bottom-up เฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีประเด็นบวก ทั้งนี้ เราเห็นโอกาสเก็งกำไรในหุ้นที่อ่อนไหวกับนโยบายรัฐที่ปรับลดลงมาในช่วงที่ผ่านมา, หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ที่ได้อานิสงส์จากสัญญาณว่า NPLs ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และ หุ้นอาหารแปรรูปบางตัวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นเด่นของเราในเดือน มิ.ย. ได้แก่ GULF*, CPALL*, MAKRO,TIDLOR*, SAWAD*, GFPT และ SUN