KTX Zoom (18 พฤษภาคม 2566)

KTX Zoom (18 พฤษภาคม 2566)

พบสัญญาณการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ (ระยะสั้น) หลังการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่แน่นอน

KTX Zoom (18 พฤษภาคม 2566)

Today’s dominant ideas

คาด SET Index อ่อนตัว แนวรับ 1,518/1,504 จุด แนวต้าน 1,533/1,540 จุด ทางเทคนิค ยังไม่เกิดสัญญาณกลับตัว (Reversal Pattern) โดยบริเวณแนวรับ 1,504 จุด จะเป็นจุดตัดสินว่าดัชนีฯ เลือกที่จะรีบาวนด์กลับไปที่ 1,576 จุด (เกิดรูปแบบ W-Shape) หรือลงลึกไปที่ 1,490/1,450 จุด (รูปแบบ Down Channel กรอบ 1,450-1,570 จุด)

ประเด็นวันนี้ ความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และการเลือกนายกฯ ที่มีโอกาสเลื่อนจาก Time line เดิม สร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุน โดยเราพบสัญญาณการไหลออกของนักลงทุนต่างชาติในภาพระยะสั้นที่รุนแรงขึ้น สะท้อนจาก 1.การกลับมาชะลอตัวลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 60 วัน ของ USDTHB Carry Trade (Figure 1) ทำให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงจาก 33.78 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 34.26 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ +1.2% WoW 2.การเปิดสถานะ Short ในตลาดอนุพันธ์ที่เพิ่มขึ้นเป็น -3.1 หมื่นสัญญา MTD (โดยเพิ่มขึ้น-1.3 หมื่นสัญญา WoW) 3.การเร่งตัวขึ้น TH 2Y Bond Yield จาก 1.94% เป็น 2.01% WoW และ 4.ยอดซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตร เริ่มปรับตัวลง -9% DoD (Figure 2) แต่อย่างไรก็ตาม ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่เร่งตัวขึ้น (1Q23 GDP +2.7%YoY) เป็นปัจจัยหนุนให้การไหลออกของเงินทุนต่างชาติเป็นเพียงภาพแค่ระยะสั้น (Hot Money) เท่านั้น โดย 2/10Y Bond Yield Curve ที่ปรับตัวลง (Bond Yield 2 ปี ขึ้นแรงกว่า 10 ปี) เป็นตัวสะท้อนว่า เงินทุนต่างชาติที่ไหลออกส่วนใหญ่เป็นเงินทุนระยะสั้น (Hot Money) ขณะที่เงินทุนต่างชาติระยะยาว (Smart Money) ยังคงไหลอยู่ในตลาดพันธบัตรไทย
 

กลยุทธ์ลงทุน  การปรับตัวลดลงของหุ้นที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ จากความวิตกกังวลเรื่องการเมือง เป็นโอกาสที่ดี (Golden time) ในการเข้าสะสมหุ้น เราคัดเลือกหุ้นที่ต่างชาติมีการลดน้ำหนักการลงทุนลงในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1 ถึงสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง แต่กลับมาเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น หลังวันเลือกตั้งถึงวันที่ 16 พ.ค. และหุ้นที่ต่างชาติมีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สิ้นสุดไตรมาส 1 ถึงสัปดาห์หลังการเลือกตั้ง (Figure 3) ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ (Attractive story) อาทิ ผลการดำเนินงานดีหรืออยู่ในกลุ่มที่เป็นเป้าหมายในการปรับเพิ่มน้ำหนักของ KTX (BANK, FINANCE, PROPERTY, EXPORT และ INVESTMENT) แนะนา MINT SAWAD BH

 

Strategic daily picks

MINT   ปิด 31.75 บาท/แนวรับ 31.50 บาท แนวต้าน 34.75 บาท

MINT รายงานผลการดำเนินงาน 1Q23 พลิกเป็นขาดทุนปกติ 647 ล้านบาท แต่ฟื้นตัวจาก 1Q22 ที่ขาดทุนปกติ 3.6 พันล้านบาท และลดลงจาก 4Q22 ที่มีกำไรปกติ 2.4 พันล้านบาท เนื่องจากต้นทุนโรงแรมสูงกว่าคาด โดยมี GPM ของโรงแรมลดลงมาอยู่ที่ 32% (คาด 35% และ 4Q22=40%) ขณะที่ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 976 ล้านบาท เพราะมีขาดทุนจากสัญญา Derivatives ราว 300 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มกำไร 2Q23 คาดจะกลับมาเติบโตโดดเด่นเหนือกลุ่ม โดยจะเติบโตทั้ง YoY, QoQ จากการเข้าสู่ช่วง high season ที่ยุโรป และประมาณการกำไรปกติปี 2023 คาดอยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 137% YoY จากการฟื้นตัวในทุกประเทศ โดยเฉพาะที่ไทยและยุโรป ทั้งนี้ Consensus ประเมินราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 37.00 บาท อิง DCF (WACC 7%, Terminal growth 2.5%)

 

 

SAWAD   ปิด 52.50 บาท/แนวรับ 48.25 บาท แนวต้าน 57.00 บาท

Consensus คาดผลการดำเนินงาน 2Q23 จะขยายตัวต่อเนื่อง YoY, QoQ จากสินเชื่อ และรายได้ Non-NII ที่ดีขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองจะเพิ่มขึ้น YoY เนื่องจากที่มีการกลับค่าใช้จ่ายสำรองเป็นรายได้ ส่วนประมาณการกำไรสุทธิปี 2023 อยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท (+19% YoY) และปี 2024 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+21% YoY) โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 70 บาท อิง 2023 PBV 3.4 เท่า

 

BH   ปิด 240.00 บาท/แนวรับ 233.00 บาท แนวต้าน 250.00 บาท


BH คาดรายได้ใน 2Q23 เติบโตได้เป็นตัวเลข 2 หลัก เมื่อเทียบกับ 2Q22 แม้จะเป็นช่วง low season เช่นเดียวกัน โดย Consensus คาด 2Q23 จะยังคงเติบโตได้ตามจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่ยังคงเติบโตได้ในระดับ 2 หลัก ต่อเนื่องจาก 1Q23 ตามการเดินทางระหว่างประเทศที่กลับสู่ภาวะปกติและการเปิดประเทศของจีน ประกอบกับใน 2Q23 ฐานกำไรของบริษัทต่ำผิดปกติ เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก COVID-19 พร้อมกันนี้ Consensus ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 5,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.56% YoY และประเมินราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 244 บาท อิง DCF (WACC 6.7%, TG 2.7%)

KTX Zoom (18 พฤษภาคม 2566)