กลุ่มพลังงานมีโอกาสเข้ามาช่วยประคองตลาด และน่าสนใจกว่าธนาคาร

กลุ่มพลังงานมีโอกาสเข้ามาช่วยประคองตลาด และน่าสนใจกว่าธนาคาร

หุ้นพลังงานน่าสนใจกว่าธนาคาร การประกาศปรับลดกำลังการผลิตของโอเปคและพันธมิตรลงอีก 1.1 ล้านบาร์เรล/วัน แม้อาจทำให้ตลาดกังวลกับเงินเฟ้อแต่ในระยะสั้นมีผลต่อตลาดไม่มากนัก

เนื่องจาก 1) ราคาน้ำมันปัจจุบันยังอยู่ในโซนต่ำ เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวปี 2565 ที่น้ำมันดิบเบรนท์ เคลื่อนไหวระหว่าง 77-139 ดอลลาร์ฯ 2) ภาพรวมทิศทางธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มเห็นการชะลอการขึ้นดอกเบี้ย-ลดดอกเบี้ยนโยบาย 3) การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุม 3 พ.ค.มีความเป็นไปได้ แต่น่าจะเป็นการขึ้นครั้วท้ายๆ และไม่น่าจะเป็นการขึ้นต่อเนื่อง เมื่อมองปฏิกิริยาของตลาดพันธบัตร // ดังนั้นแม้ในระยะสั้นหุ้นธนาคารอาจฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่เรายังคงมุมมองว่าธีมการลงทุนกำลังเปลี่ยนจากดอกเบี้ยขาขึ้นเป็นดอกเบี้ย ณ จุดสูงสุด ซึ่งจะทำให้กลุ่มธนาคารมีความเสี่ยงของการถูกปรับลดน้ำหนักการลงทุนเชิงกลยุทธ์ (tactically weighting reduction) เรามองหุ้นพลังงานน่าสนใจกว่าในระยะ 1-2 เดือนนี้ โดยหุ้นที่เราชอบคือพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น ได้แก่ PTTEP (ราคาเป้าหมาย 174 บาท), ESSO (ราคาเป้าหมาย 12 บาท), SPRC (ราคาเป้าหมาย 15 บาท)
 

SET Index อาจผันผวนจากการปรับฐานของ DELTA แต่ไม่กระทบถึงมุมมองการลงทุนในภาพรวม ราคาเหมาะสมเฉลี่ยของ DELTA อิง Bloomberg Concensus อยู่ที่ 617 บาท โดยกลุ่มนักวิเคราะห์ที่ให้ราคาเหมาะสมค่อนไปทางสูงอยู่ที่ 710-1,000 บาท ดังนั้นเราอาจเห็นการปรับฐานของหุ้นลงมาสู่โซน 700-800 บาท ซึ่งจะกระทบ SET Index ราว 20-30 จุด อย่างไรก็ตาม ไม่กระทบต่อมุมมองบวกในการลงทุนช่วง 1-2 เดือน ข้างหน้าที่เรามีต่อหุ้นที่มีปัจจัยบวก, หุ้นที่มีการถือครองต่ำและคาดว่าผลการดำเนินงานมีแนวโน้มปรับดีขึ้น ได้แก่ กลุ่มพลังงาน, ค้าปลีก, ไฟฟ้า (โดยเฉพาะพลังงานทดแทนและที่ต้นทุนก๊าซลดลง) และเปิดเมืองที่ยังปรับขึ้นไม่มาก หรือได้อานิสงค์จากนักท่องเที่ยวจีน หุ้นที่เราชอบได้แก่ PTT, ESSO, SPRC, BCP, BJC, MAKRO, CPALL, GULF, BGRIM, GUNKUL, SPA, VRANDA, MAJOR เป็นต้น

 

ภาพรวมกลยุทธ์: การปรับลดกำลังการผลิตของโอเปคทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นพลังงาน อย่างไรก็ตามจะเป็นประเด็นขัดแย้งกับการคุมเงินเฟ้อและธีม ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุด ทำให้ตลาดระยะสั้นอาจจะผันผวนได้ อย่างไรก็ตามยังมองทยอยสะสมเน้น selective buy กลุ่มที่น่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ชัดเจนในปี 2566 และยังมีการถือครองที่ต่ำ (Underowned) โดยมีหุ้นที่เราชอบ ได้แก่ CPALL, MAKRO, BJC, WHA, AMATA, ROJNA, PTG, OR, MAJOR, SPA, ERW, VRANDA, BGC, M, SORKON, SNP, BGRIM, GPSC, GULF, GUNKUL, ADVANC เป็นต้น

หุ้นแนะนำ: GUNKUL*, GULF*, ESSO*, VRANDA*

แนวรับ: 1,593-1,597 / แนวต้าน : 1,607-1,620 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
 

 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ

ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐหดตัวเดือนที่ 5 –ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49.2 ในเดือนมี.ค. จากระดับ 47.3 ในเดือนก.พ. แต่ต่ำกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 49.3

ISM เผยดัชนีภาคการผลิตสหรัฐหดตัวเดือนที่ 5 –ปรับตัวลงสู่ระดับ 46.3 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 47.5 จากระดับ 47.7 ในเดือนก.พ.

SIRI ได้เข้า SET100 หลัง ตลท.ปลด STARK ออก มีผล 7 เม.ย. – หลัง STARK ไม่สามารถนำส่งงบการเงินตามกำหนดได้

Opportunity day - 4 เม.ย. – DTCENT, TEAMG, STECH, RAM, SKN, PRIME, YGG / 5 เม.ย. – SIS, ECF, VIBHA, KTMS, PORT, NWR, AU / 7 เม.ย. – BC, SKR, FTI, FVC, KK, LHHOTEL, AHC                            

 

ประเด็นติดตาม: 4 เม.ย. – TH CPI, JOLTs Job Openings / 5 เม.ย. - ISM Non-Manufacturing PMI / 6 เม.ย. - Initial Jobless Claims / 7 เม.ย. - Nonfarm Payrolls / 12 เม.ย. - US CPI, FOMC Meeting Minutes / 13 เม.ย. - US PPI / 14 เม.ย. - US Retail Sales / 

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)