KTC ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตแข็งแกร่งจนถึงกลางปี

KTC ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโตแข็งแกร่งจนถึงกลางปี

จากข้อมูลของบริษัท ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของ KTC ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง >20% YTD ซึ่งสูงกว่าเป้าเต็มปี 2566 ของบริษัทที่ 10%

นอกจากนี้ อัตราการเติบโต YTD ยังใกล้เคียงกับใน 4Q22 ที่ประมาณ 19% ซึ่งการที่ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโตอย่างแข็งแกร่งหมายความว่าสินเชื่อ และค่าธรรมเนียมร้านค้า (merchant fee) จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 1Q66 ทั้งนี้ เราใช้สมมติฐานว่าสินเชื่อจะโตประมาณ 12.5% YoY ใน 1Q66 (จาก 12% ใน 4Q65) ในขณะที่ใช้สมมติฐานอัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่ 13% YoY ใน 1Q66

 

แคมเปญของรัฐเพื่อหนุนการท่องเที่ยวในประเทศจะช่วยหนุนโมเมนตัมการเติบโตใน 2Q66

แคมเปญของรัฐบาลที่ช่วยอุดหนุนค่าที่พัก 40% และให้เงินอุดหนุนค่าอาหารน่าจะช่วยกระตุ้นการเดินทางในประเทศและการใช้จ่ายผ่านบัตรใน 2Q66 ซึ่งน่าจะทำให้โมเมนตัมการใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 2Q66 ซึ่งจะส่งผลให้กำไรในไตรมาสสองสูงตามฤดูกาล

 

 

ค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น และสัดส่วน NPL ลดลง

เราคิดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะช่วยหนุนให้คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น นอกจากนี้ KTC ยังบันทึก credit cost เป็นกรณีพิเศษสำหรับเพิ่มสำรองส่วนเกิน (management overla) อีก 150 ล้านบาทใน 4Q65 ในขณะที่ NPL ที่ลดลงมาอยู่ที่ 1.8% ใน 4Q65 จะทำให้บริษัทสามารถทำให้บริษัทลดคชจ.สำรองฯ (credit cost) ในปี 2566 ลงได้ ดังนั้น เราจึงคาดว่า KTC จะบันทึกคชจ.สำรองฯ (credit cost) ลดลงเหลือ 4.5% ใน 1Q66F (จาก 5.8% ใน 4Q65 และ 4.6% ใน 1Q65) ในขณะเดียวกัน เราใช้สมมติฐาน credit cost เต็มปีที่ 4.7% ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรสุทธิใน 1Q66F จะอยู่ที่ประมาณ 1.9 พันล้านบาท (+18% QoQ และ +11%YoY)

 

ปรับประมาณการกำไรปี 2566/2567 ขึ้น +2%/3%, ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2566F เป็น 64 บาท , ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ

เราปรับประมาณการกำไรปี 2566/2567 จากการที่เราปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม ซึ่งสะท้อนจากน yield สินเชื่อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20.5%/20.6% ในปี 2566/2567 (จากประมาณการเดิมที่ 20.4%/20.5%) รวมถึงการปรับลด credit cost ลงเหลือ 4.75%/4.75% (จากเดิมที่ปีละ 4.8%) และการปรับเพิ่มสัดส่วน SG&A/รายได้เป็น 33.8%/34% (จากเดิมที่ 33%/33%) ทั้งนี้ เมื่อใช้ PE ที่ 21x ทำให้เราได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566F ใหม่ที่ 64 บาท (จากเดิมที่ 62 บาท) และเนื่องจากมี upside ถึงราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก ถือ เป็น ซื้อ

 

Risks

NPL และ credit cost เพิ่มขึ้น