KCE อุตสาหกรรมยานยนต์จะดีขึ้น (30 มี.ค. 66)

KCE อุตสาหกรรมยานยนต์จะดีขึ้น (30 มี.ค. 66)

ตามบทวิเคราะห์ของ KGI Taiwan ฉบับ “Auto parts sector: Mounting pricing pressure in China’s auto supply chain” ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2566

ยอดขายรถทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1% YoY ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ (Figure 1) ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเพิ่มขึ้น 4% YoY growth YTD (Figure2) ซึ่งฟื้นตัวขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยหลายประการที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างเช่นภาวะเศรษฐกิจมหภาค และภาครัฐลดการสนับสนุนในหลาย ๆ ตลาดลง แต่ทีมวิจัย KGI Taiwan ยังคงคาดว่ายอดขายรถทั่วโลกจะยังโตได้ 3% ในปี 2566 จากการฟื้นตัวของสายโซ่อุปทานหลัง COVID-19 และอุปทาน IC ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายในตลาดรถหลัก ๆ ทุกตลาดยกเว้นจีนในปี 2566F

KCE อุตสาหกรรมยานยนต์จะดีขึ้น (30 มี.ค. 66)

 

ผลประกอบการจะยังแผ่วในไตรมาสแรกของปีนี้

เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ KCE ใน 1Q66 จะอยู่ที่ 424 ล้านบาท (-24% YoY, -16% QoQ) จากการลดลงของทั้งยอดขาย และอัตรากำไรขั้นต้น เราคาดยอดขายใน 1Q66 จะอยู่ที่ 127 ล้านดอลลาร์ฯ (-8%YoY, -1% QoQ) จากยอด backlog ในมือที่ค่อนข้างน้อย ในขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 1Q66 จะลดลงมาที่ 20% (-2.8ppts YoY, -1.2ppts QoQ) จาก i) การลดราคาขายลง 1-2% ii) ต้นทุนวัตถุดิบสูงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และ iii) เงินเบาทแข็งค่าขึ้น (อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยอยู่ที่ 33.80 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 1Q66 จาก 36.00 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 4Q65 และ 32.90 บาท/ดออลาร์ฯ ใน 1Q65)

 

 

คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นในไตรมาสถัดไป

เราคาดว่าผลประกอบการของ KCE ในรอบปีนี้จะต่ำสุดใน 1Q66 และจะดีขึ้นในไตรมาสที่เหลือของปีเนื่องจาก i) ต้นทุนวัตถุดิบลดลง (ราคาทองแดงเฉลี่ยอยู่ที่ 8,200 บาท/ตันใน 3Q65-1Q66 ซึ่งลดลง 15%YoY) โดยจะมีช่วงเหลื่อมเวลา (time lag) ประมาณ 1-2 ไตรมาส ii) ยอดขายเพิ่มขึ้นจากกลับมาการตุนสต็อกหลังจากที่สายโซ่อุปทานคลายความตึงตัวลง และเป็นเข้าสู่ช่วงท้ายของ correction phase (เราคาดว่า correction phase ของอุตสาหกรรมจะจบลงใน 4Q66) และ iii) ประสิทธิภาพการผลิตที่ขึ้นจากสายการผลิตล่าสุด

 

Valuation & action

เรายังคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 43 บาท อิงจาก PER ที่ 22.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีต -0.25 S.D.) ราคาหุ้น KCE ปรับลดลงมาแล้ว 20% หลังจากที่เราปรับลดคำแนะนำเป็นขายเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 เราเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะสะท้อนผลประกอบการที่คาดว่าจะแผ่วใน 1Q66 ไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากเราคาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นในระยะต่อไป และมี downside จากราคาปิดล่าสุดอีกไม่มากแล้ว เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ขาย” เป็น “ถือ”

 

Risk

ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2565-66 ที่ 34.50 บาท/ดอลลาร์ฯ)