กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ ยังอยู่ในช่วงปรับฐานแต่ไม่ลงแรง แนะทยอยสะสมหุ้นต่อ

กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ ยังอยู่ในช่วงปรับฐานแต่ไม่ลงแรง แนะทยอยสะสมหุ้นต่อ

ตลาดจะยังแกว่งตัวในระยะสั้นท่ามกลางความกลัวเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ downside จำกัดในสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยย่อตัวลงเล็กน้อย ซึ่งแย่กว่าที่เราคาดเอาไว้

ถึงแม้ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย Fed Fund Rate อีก 50bps เป็น 4.50% ตามคาด และส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ย terminal interest rate จะอยู่ที่ 5.10% แต่ความเห็นของนาย Jerome Powell ประธาน Fed ที่ว่าเงินเฟ้อยังไม่ยอมลงง่าย ๆ และสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงเป็นปัจจัยที่ฉุดสินทรัพย์เสี่ยงในเอเชีย ตัวเลขยอดค้าปลีกทั้งในสหรัฐ และจีนในเดือนพฤศจิกายนออกมาต่ำเกินคาดทั้งคู่ ในขณะที่ flash PMIs เดือนธันวาคมของสหรัฐก็ออกมาต่ำกว่า consensus

 

สำหรับในสัปดาห์นี้ เราคาดว่าดัชนี SET จะยังคงผันผวนต่อไป จากความกลัวว่าเศรษฐกิจโลกถดถอย ในขณะที่ตลาดยังมองบวกกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยได้แรงหนุนอย่างแข็งแกร่งจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในสัปดาห์นี้ สหรัฐจะสหรัฐจะประกาศตัวเลขเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัยออามาสองสามตัว ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะยังอ่อนแอ และทำให้ตลาดทั่วโลกยังคงอยู่ในโหมด risk off
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปรับ EPS ปี 2566 ยังแข็งแกร่ง และอัตราผลตอบแทนจากพันบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเหลือ 256% เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว การวิเคราะห์ earnings yield gap (EYG) ทำให้เราเชื่อว่าดัชนี SET ไม่น่าจะหลุดแนวรับทางจิตวิทยาที่ 1,600 จุด

 

 

 

ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐจะยังคงเป็นตัวกำหนดทิศทางสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

ปัจจัยภายนอก: ติดตามตัวเลขที่อยู่อาศัย และ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน core PCE ของสหรัฐ ในสัปดาห์นี้สหรัฐจะประกาศตัวเลขเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพฤศจิกายนสามตัวด้วยกัน ได้แก่ housing starts และ building permits ในวันที่ 20 ธันวาคม และ existing home sales ในวันที่ 21 ธันวาคม ซึ่ง consensus คาดว่าทุกตัวจะลดลง MoM ซึ่งอาจจะทำให้ภาวะตลาดที่ได้รับอิทธิพลจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์นี้คือ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน core PCE เดือนพฤศจิกายนที่จะประกาศออกมาในวันที่ 23 ธันวาคม ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่าตัวเลขเงินเฟ้อตัวนี้ ซึ่งเป็นตัวที่ Fed นิยมใช้ในการพิจารณานโยบายการเงิน จะลดลงมาอยู่ที่ 4.6% YoY จาก 5.0% YoY เมื่อเดือนตุลาคม

 

เรายังคงแนะนำให้ซื้อสะสมหุ้นในธีมการลงทุนของ 1Q66

เช่นเดียวกับที่เราระบุเอาไว้ในบทวิเคราะห์กลยุทธ์สัปดาห์ที่แล้ว เราเชื่อว่า risk-reward ของดัชนี SET ยังน่าสนใจเนื่องจาก i) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2566 ii) โมเมนตัมของ EPS กลุ่มที่เน้นเศรษฐกิจในประเทศยังคงฟื้นตัวได้ดี และ iii) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงในช่วงนี้ช่วยพยุงราคาหุ้นในตลาดไทย ดังนั้น เราแนะนำให้นักลงทุนยังคงซื้อสะสมหุ้นที่ตามกลยุทธ์การลงทุนของเราใน 1Q66 อย่างเช่น ธนาคารขนาดใหญ่ และหุ้นบางตัวในธีมผู้บริโภค และการท่องเที่ยว รวมถึงหุ้นที่จะได้อานิสงส์จากอัตราผลตอบแทนพันบัตรที่ลดลง และ เงินบาทที่แข็ง โดยสรุปแล้ว

หุ้นเด่นที่เราแนะนำให้ลงทุนใน 1Q66 ได้แก่ BBL*, KTB*, CPALL*, HMPRO*, BDMS*, ERW*, SAWAD*, TIDLOR*, WHA* และ GULF*