LALIN กำไรช่วง 9M65 คิดเป็น 70% ของประมาณการกำไรปี 65

LALIN กำไรช่วง 9M65 คิดเป็น 70% ของประมาณการกำไรปี 65

กำไรงวด 3Q65 เท่ากับ 300 ล้านบาท - 11%QoQ, -12%YoY: งวด 3Q65 บริษัทมีรายได้จากการโอน 1,500 ล้านบาท -8%QoQ, -7%YoY รายได้ที่ลดลง สาเหตุหลักเกิดจากไตรมาส3 เป็นช่วงหน้าฝน ทำให้โครงการก่อสร้างล่าช้าออกไป ส่งผลต่อการรับรู้รายได้

โดยสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ 39% ทรงตัว YoY และ QoQ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (%SG&A/Sales)เท่ากับ 10.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการทำการตลาดในการเปิดโครงการใหม่ เทียบกับระดับ 9.6% ใน 2Q65 และ 9.3% ใน3Q64 มีอัตรากำไรสุทธิ(%NPM) เท่ากับ 20.0% ปรับตัวลงเมื่อเทียบกับใน 2Q65 ที่ระดับ 20.8% และใน 3Q64 ที่ 20.9% ซึ่งบริษัทมีอัตราการทำกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่อยู่บริเวณราว 12-13% ด้านฐานะการเงินยังแข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) เท่ากับ 0.55 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมที่ระดับ 1.35 เท่า 

LALIN กำไรช่วง 9M65 คิดเป็น 70% ของประมาณการกำไรปี 65

 

 

- ปี 65 เปิดโครงการใหม่ 12 โครงการมูลค่ารวม 8.5 พันล้านบาท: ในช่วง 11M65 เปิดโครงการใหม่ 12 โครงการแบ่งออกเป็นทาวน์โฮม 6 โครงการมูลค่า 4,390 ล้านบาท เเละโครงการบ้านเดี่ยว - บ้านแฝด 6 โครงการมูลค่า 4,150 ล้านบาท ทำให้ทั้งปี 2565 บริษัทจะสามารถเปิดโครงการได้ทั้งสิ้นราว 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,540 ล้านบาท โดยเน้นโครงการแนวราบที่เป็น Real Demand และเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของประเทศ บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด แบรนด์ “Lanceo” ระดับราคา 3-6 ล้านบาท แบรนด์ “Lalin Prestige” ระดับราคา 5-8 ล้านบาท แบรนด์ “Lalin Greenville” ระดับราคา 8-12 ล้านบาท ทาวน์โฮมมี 2 แบรนด์หลัก คือ แบรนด์ “Lio” ระดับราคา 2-3 ล้านบาท และ “Lio Prestige” ระดับราคา 2.5 – 3.5 ล้านบาท ในปี 65 บริษัทปรับเป้ายอดขาย Presale ลง จากเดิมคาดราว 8.5 พันล้านบาท เป็นราว 7 พันกว่าล้านบาท 

- ปรับประมาณการกำไรปี 65 และปี 66 ลดลง 9% และลดลง 15% ตามลำดับ: เราปรับลดประมาณการรายได้จากการขายปี 65 เป็น 6,610 ล้านบาท จากเดิมคาด 7,230 ล้านบาท หรือลดลง 9% และปี 66 เป็น 6,940 ล้านบาท จากเดิมคาด 7,953 ล้านบาท หรือลดลง 15%  เนื่องมาจากรายได้จากการขายในช่วง 9M65 ต่ำกว่าคาดมาก โดยเราคงสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ปี 65 และปี 66 เท่ากับ 38.8% และ 38.9% ตามลำดับ ทำให้เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิในปี 65 และปี 66 เท่ากับ 1,381 ล้านบาท หดตัว 1%YoY และ 1,460 ล้านบาท เติบโต 6%YoY ซึ่งประมาณการกำไรใหม่ลดลงจากประมาณการเดิม 9% และ 15% ในปี 65 และปี 66 ตามลำดับ โดยกำไรในช่วง 9M65 บริษัททำได้ 965 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของประมาณการกำไรใหม่ปี 65 ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ ปลายงวด 3Q65 ราว 1.3 พันล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 65 และปี 66 

-  คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 66 เท่ากับ 11.30 บาท: เราเริ่มเห็นการเติบโตของผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลง โดยในการประเมินราคาเหมาะสมอิง Prospected PER ที่ระดับ 7.2 เท่าซึ่งเป็นระดับ +1.0SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี (ปรับลงจากเดิมที่ระดับ +1.5SD) ขณะที่ P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ระดับ 17.9 เท่า  จากการประเมินกำไรต่อหุ้นสำหรับปี 66 ที่ 1.58 บาทได้ราคาเหมาะสมเท่ากับ 11.30 บาท มี upside จากราคาปัจจุบัน ราว 30% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 7.3% ต่อปี อยู่ในระดับสูงน่าสนใจ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” 

 

ปัจจัยเสี่ยง 

1.    กำลังซื้ออ่อนแอจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
2.    ธุรกิจที่อยู่อาศัยมีการแข่งขันสูง
3.    ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น
4.    การพัฒนาโครงการมีความล่าช้า