อ่อนตัว ซื้อเก็งกำไร RBF SAT EKH (17 พ.ย. 2565)

อ่อนตัว ซื้อเก็งกำไร RBF SAT EKH (17 พ.ย. 2565)

คาดดัชนีฯ อ่อนตัว แนวต้าน 1,630/1,635 จุด แนวรับ 1,611 (EMA 50 สัปดาห์)/1,600 จุด แนะนำ ซื้อเก็งกำไร RBF SAT EKH ทางเทคนิค มีสัญญาณเตือนเข้าสู่ทิศทางขาลงไปที่ 1,594/1,580 จุด หากดัชนีฯ ปิดต่ำกว่า 1,611 จุด

ส่วนโมเมนตัมลงทุนอยู่ที่ Slightly Negative จากผลสำรวจผจก.กองทุนโลก เดือน พ.ย. ล่าสุด ยังคงแนะนำถือสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย  ไฮไลท์วันนี้ คือ 3Q22E Earnings Results: US: GAP, MACY’s, Applied Materials /China: Alibaba, Weibo; Thailand: Opportunity Day: ASIAN PSH SABINA TPIPP PTL EKH TIPH BRI SONIC PROUD AS MINT UKEM MODERN; US: Housing Starts คาด -4.4% MoM (Vs เดือน ก.ย. -8.1% MoM) สุนทรพจน์ FED Minneapolis Kashkari, FED Cleveland Mesters, FED Chicago Evans; EU: CPI เดือน ต.ค. คาด +10.7% YoY (Vs เดือน ก.ย. +9.9% YoY)

 

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ

+ KTX Portfolio: พอร์ต Big Cap แนะนำ CRC AWC CK TCAP BH BEM AOT EA CPN MINT KTB TTB BDMS PLANB (ซื้อ KKP)

+ Daily Recommendations: RBF (แนวโน้มกำไร 4Q22E เติบโต QoQ และ YoY จากต้นทุนข้าวสาลีที่ลดลงและการเข้าสู่ช่วง High Season ของการบริโภค และได้อานิสงส์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติหนุนการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มให้เร่งตัวขึ้น) SAT (Sentiment เชิงบวก จากงาน Motor Expo ในเดือน ธ.ค. ซึ่งกระตุ้นยอดขายและผลิตรถให้เพิ่มสูงขึ้น) EKH (คาดกำไร 4Q22E เติบโต จากการบันทึกกำไรการปรับมูลค่าเงินลงทุนใน KLINIQ ซึ่ง EKH ถือหุ้นอยู่ 10% ขณะที่ได้ปัจจัยบวก จากการลดวันกักตัวของจีน ซึ่งเอื้อต่อการเดินทำงเข้ามาใช้บริการทำ IVF มากขึ้น)

+ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการซ่อมแซมบ้านเรือนหลังน้ำท่วม: GLOBAL HMPRO DOHOME

+ หุ้นได้ประโยชน์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น: CENTEL ERW AOT BAFS AAV SPA

 

 

 

ปัจจัยลบ

- Global Fund Manager Survey เดือน พ.ย.: ผลสำรวจผจก.กองทุน 272 แห่งระหว่างวันที่ 4-10 พ.ย. โดย Bank of America พบว่า ด้านเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด Recession (77%) และ Stagflation (92%) ด้านการลงทุนยังคงเน้นการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย Cash 6.2% (Vs เฉลี่ย 4.9%) และลดน้ำหนัก Equities (ย้ายกลุ่มลงทุนไปยัง Industrials, Bank แทนที่กลุ่ม Utilities, Tech) โดย Bofa แนะนำ ขายหุ้น หากดัชนี S&P500 >4,100 จุด ความเสี่ยงสูงสุด คือ 32% High Inflation, 18% Geopolitical Risk, 18% Hawkish Central Banks, 18% Deep Global Recession ส่วน Most Crowded Trade: 58% Long USD (แต่ 72% เชื่อว่ำค่ำเงิน USD Overvalued), 13% Short China Equities, 10% Long Oil, Short EU Equities

 

ปัจจัยบวก

+ 3Q22E GDP ของไทย: ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทย 3Q22E จะเติบโตสูงกว่า 3% YoY ซึ่งดีขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับ 2Q22 ที่ +2.5% YoY และ 1Q22 ที่ +2.2% YoY และคาดทั้งปี 2022E จะขยายตัวได้ 3.3% YoY

+ โปแลนด์/รัสเซีย: เลขาธิการนาโต เผยขีปนาวุธที่ถูกยิงตกในโปแลนด์คาดว่าจะเป็นขีปนาวุธของระบบป้องกันภัยทางอากำาของยูเครนที่ยิงสกัดขีปนาวุธของรัสเซีย และทำให้พลาดตกในดินแดนโปแลนด์

 

ประเด็นสำคัญ

- 3Q22E Earnings Results: US: GAP, MACY’s, Applied Materials / China: Alibaba, Weibo

- Opportunity Day: ASIAN PSH SABINA TPIPP PTL EKH TIPH BRI SONIC PROUD AS MINT UKEM MODERN

- US: Housing Starts คาด -4.4% MoM (Vs เดือน ก.ย. -8.1% MoM) สุนทรพจน์ FED Minneapolis Kashkari, FED  Cleveland Mesters, FED Chicago Evans

- EU: CPI เดือน ต.ค. คาด +10.7% YoY (Vs เดือน ก.ย. 9.9% YoY)

 

 

 

Global Market Summary: วันทำการที่ผ่านมา

- ตลาดหุ้นไทยกลับมาปิดลบ: ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในลักษณะ Downtrend กรอบ 1,629.06-1,616.82 จุด ก่อนรีบาวนด์ปลายตลาดมาปิดที่ 1,619.98 จุด -9.40 จุด วอลุ่มซื้อขาย 6.1 หมื่นล้านบาท นำลงโดยกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ -1.43% การแพทย์ -1.41% ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -1.08% ประกันภัยและประกันชีวิต -0.99% พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ -0.97% หุ้นบวก >4% POLY KLINIQ TC AQUA KAMART STP KISS ARIP หุ้นลบ >4% EA SMK ALL HPT MVP PJW

- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปปิดลบ: DJIA -0.12% S&P500 -0.83% NASDAQ -1.54% หลังจาก Target ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยกำไร 3Q22 แย่กว่าคาด USD1.54 (Vs คาด USD2.13) รวมถึงแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิป หลังจากบริษัท ไมครอน เทคโนโลยี ประกาศแผนปรับลดการผลิตชิปหน่วยความจำ แต่มีแรงซื้อหุ้น Defensive เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น ช่วยหนุนตลาด ส่วนตลาดหุ้นยุโรปกลับมาปิดลบ CAC40 -0.52% DAX -1.0% FTSE -0.25% นำลงโดยกลุ่มค้าปลีก กลุ่มยานยนต์ (หุ้นเมอร์ซีเดส เบนซ์ กรุ๊ป ร่วง -6.2%) หลังจาก UK รายงานเงินเฟ้อเดือน ต.ค. สูงสุดรอบ 41 ปี แตะ +11.1% YoY เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค

- ราคาน้ำมันดิบและทองปิดลบ: WTI -USD1.33 ปิดที่ USD85.59/บาร์เรล Brent -USD1.0 ปิดที่ USD92.86/บาร์เรล หลังจากรมว.ต่างประเทศ ฮังการี เปิดเผยว่าการส่งน้ำมันจากรัสเซียผ่านท่อลำเลียงดรูซบา กลับมาดำเนินการได้ตามปกติแล้ว รวมถึงความกังวลด้านอุปสงค์ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในจีน เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงการออกมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ ส่วนราคาทองคำ -USD1 ปิดที่ 1,775.80/ออนซ์ จากแรงขายทำกำไร หลังราคาทองพุ่งสูงสุดรอบ 3 เดือน

 

ประเด็นสำคัญ

+ China: คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวขึ้นอีกในช่วงที่เหลือของปี 2022 เนื่องจากคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะส่งผลดีในไตรมาส 4 ปีนี้

+ US: สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง 5.4 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 400,000 บำร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 800,000 บาร์เรล

+ Thailand: รมว.คลัง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2022E จะเติบโตได้ 3.4% และปี 2023E ที่ 3.8% ทั้งนี้ แม้ทั่วโลกจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ไทยมั่นใจว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชียจะสวนทาง และเป็นกลุ่มประเทศที่มีอิทธิพลด้านเศรษฐกิจ (Power House) อีกกลุ่มหนึ่ง จากที่เคยมีประเทศสหรัฐฯ ยุโรป และจีน

- WTO: ผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก (WTO) ออกมาเตือนว่า ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายแห่งกำลังเผชิญความเสี่ยงที่แท้จริงที่จะปรับตัวเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากสงครามในยูเครน ราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งทะยำนขึ้น อาจทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกย่ำแย่ลง

 

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ Trading Buy (โดยมีจุดขายตัดขาดทุน 3%)

หุ้นแนะนำรายสัปดาห์: BANPU GPSC TIDLOR

หุ้นแนะนำเก็งกำไร: RBF SAT EKH

Derivatives: แนะเปิด Short S50Z22 เมื่อหลุด 985 จุด