SCB ธุรกิจบัตรเครดิต CardX จะสร้างการเติบโตในรูปแบบใหม่

SCB ธุรกิจบัตรเครดิต CardX จะสร้างการเติบโตในรูปแบบใหม่

SCB จัดงานแยกต่างหากเพื่อนำเสนอแนวโน้มการเติบโตของ CardX (ธุรกิจบัตรเครดิตของเครือ) ซึ่งมีแผนจะ spin-off และดำเนินการในรูปแบบบริษัทที่แยกออกไปจากธนาคาร แต่จะยังอยู่ภายใต้บริษัท holding (SCBX)

จะแยกธุรกิจบัตรเครดิตออกไปในเดือนธันวาคม 2565 โดยมีขนาดพอร์ต 1 แสนล้านบาท

ธนาคารจะแยกธุรกิจบัตรเครดิต และสินเชื่อ P-Loan ออกจากธนาคาร ซึ่งปัจจุบันดำเนินการโดย CardX ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการ spin-off และจะดำเนินธุรกิจแยกจากนาคารตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้ พอร์ตสินเชื่อรวมของ CardX อยู่ที่ประมาณ 1.00-1.20 แสนล้านบาท โดยพอร์ต P-loan และ บัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วนประมาณครึ่ง ๆ นอกจากนี้ ขนาดพอร์ตของ CardX ยังเกือบจะเท่ากับของ KTC ซึ่งให้บริการสินเชื่อ P-Loan และบัตรเครดิตอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท

 

วิธีการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตจะเปลี่ยนไปจากเดิม

ผู้บริหาร CardX เปิดเผยว่า CardX จะดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตในรูปแบบที่ต่างไปจากผู้เล่นรายอื่น ๆ ในตลาด โดยจะใช้ AI ในการขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงกระบวนการอนุมัติวงเงิน, โมเดลการบริหารจัดการความเสี่ยง และต้นทุน credit risk ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าจะขยายพอร์ตสินเชื่อของ CardX เป็น 1.40 แสนล้านบาท โดยมี ROA 6-7% และ ROE >25% ภายในปี 2568 ซึ่งภายใต้แผนดังกล่าว บริษัทตั้งเป้าจะจับกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ได้รับบริการเพียงพอ (รวมถึงกลุ่ม buy-not-pay-later ด้วย) ซึ่ง yield สินเชื่อไม่สูงนักที่ ต่ำกว่า 20% โดยจะมีต้นทุนการดำเนินงานต่ำ ซึ่งสัดส่วน C/I จะอยู่ที่ 30% กลาง ๆ และ credit cost
ที่ 6-8% ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ย สินเชื่อสุทธิอยู่ที่ประมาณ 5%

 

 

 

การแข่งขันในธุรกิจกลุ่ม non-bank จะเข้มข้นมากขึ้น

ตามแผนธุรกิจ 3 ปี เราคาดว่าการเติบโตไม่ได้หวือหวาในปี 2566 และอาจจะเร่งตัวขึ้นในปี 2567 เพราะบริษัทโมเดลการในการทำธุรกิจยังต้องการเวลาลองผิดลองถูก หากแผนธุรกิจดำเนินงานได้เต็มที่ โดยเฉพาะในส่วนของระบบติดตามหนี้ จะส่งผลทำให้การแข่งขันในธุรกิจ non-bank เข้มข้นมากขึ้น

 

แนะนำ ซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2566F ที่ 134 บาท (PBV ที่ 0.95x)

เรายังมีมุมมองที่เป็นบวกกับ SCB เหมือนเดิม ซึ่งได้รวมปัจจัยที่ว่าธุรกิจใหม่อาจจะไม่ได้สร้างรายได้และกำไรมากนักในระยะสั้น อย่างไรก็ตามการที่ SCB สร้างความแตกต่างจากการสร้างการเติบโตในกลุ่มสินเชื่อผู้บริโภคจากและได้เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างมากกว่าธนาคารอื่น ทำให้เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2566F เอาไว้เท่าเดิมที่ 134 บาท

 

Risks

ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงทำให้ NPLs และ credit cost เพิ่มขึ้น, การเติบโตของธุรกิจใหม่ชะลอตัวลง.