ติดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจและประชุมธนาคารกลางต่างๆในสัปดาห์นี้

ติดตามข้อมูลทางเศรษฐกิจและประชุมธนาคารกลางต่างๆในสัปดาห์นี้

ประเมินเฟดมีโอกาสตรึงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม 1-2 ครั้งหน้า ยังอยู่ในช่วงของการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/65 เราประเมินนักลงทุนมีโอกาสมองถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะชะลออัตราการขึ้นดอกเบี้ย หรือตรึงดอกเบี้ยนโยบาย

ในช่วงการประชุม 1-2 ครั้งหน้าจาก 1) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอ ล่าสุดคือ PMI เดือนต.ค. ทั้งภาคการผลิตที่ 49.9 (จากคาด 51.0) และภาคบริการที่ 46.6 (จากค่าด 49.5) 2) สัญญาณความผันผวนของตลาดตราสารหนี้ของหลายประเทศในโลก 3) UN เรียกร้องให้ธนาคารกลางประเทศชั้นนำ พิจารณาชะลอหรือพักการขึ้นดอกเบี้ย 4) การประชุมของธนาคารกลางแคนาดา (พุธ), ยุโรป (พฤหัส) และญี่ปุ่น (ศุกร์) ที่อาจให้มุมมองเศรษฐกิจและดอกเบี้ย // โดยมีความเสี่ยงเชิงจิตวิทยาที่สำคัญจากการรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 3/65 สหรัฐฯ ในวันพฤหัส (27 ต.ค.) ซึ่งเครื่องมือ GDPNow ของเฟดแอตแลนต้าบ่งชี้การเติบโตอาจสูงถึง 2.9% ขณะที่ตลาดคาดเพียง 2.3% 
 

การเปลี่ยนแปลงผู้นำและนัยยะทางการเมืองของจีนและอังกฤษ ช่วงสุดสัปดาห์ มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำที่สำคัญใน 2 ประเทศ ได้แก่ 1) คณะผู้นำของจีน (Politburo Standing Committee) ซึ่งคณะกรรมการอีก 6 คน ถือเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับประธานาธิปดีสี จิ้นผิง ทำให้นักลงทุนกังวลต่อการดำเนินนโยบายอย่างสุดโต่ง และอาจไม่ประนีประนอม รวมถึงบางนโยบายอาจไม่เป็นมิตรต่อผู้ลงทุน อาทิ ความมั่งคั่งร่วมกัน (Common prosperity) ส่งผลให้ตลาดหุ้นที่เกี่ยวโยงกับจีนปรับลดลงแรง อาทิ ฮ่องกง, เวียดนาม, ญี่ปุ่น เป็นต้น โดยหุ้นเทคโนโลยีจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ หรือฮ่องกง ปรับลดลงแรงราว 15% 2) ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ ริชี สุนัค อดีตรมว.คลัง และว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม (ก่อนแพ้ให้แก่ ลิซ ทรัสต์) เคยแสดงความเห็นต่อต้านแผนลดภาษีของทรัสต์มาก่อน ทำให้ตลาดดูมั่นใจในตัวผู้นำคนใหม่ (สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับลดลง)

อย่างไรก็ตามว่าที่ผู้นำคนใหม่ของอังกฤษ มองจีนเป็นศัตรูที่สำคัญ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ // ผลกระทบเชิงบวกของความขัดแย้งข้างต้น ทำให้ภาพของการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ไปจนกระทั่งการย้ายถื่นฐานของผู้มีรายได้สูงในจีนและฮ่องกงมาไทย คาดจะส่งผลดีต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ในระยะกลาง
 

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR, VRANDA, SPA 2) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO, MAJOR, MBK 3) มาตรการสนับสนุน EV ได้แก่ EA, GPSC, PIMO  4) กลุ่มไฟฟ้าแผน PDP ใหม่ บวกกับ EGCO, RATCH, GULF, GUNKUL, SSP 5) เก็งกำไรทางเทคนิค CRC, RATCH, SC, TH, TLI, BAM, EA, CK, MBK, SAMART, ARIN, MC, TKN, SCGP, KISS, TC, KAMART, FLOYD, PROS 

 

ภาพรวมกลยุทธ์: คาดเห็นการเก็งกำไรรายตัว ขณะที่ภาพรวม SET Index อยู่ระหว่างสร้างฐานเพื่อผ่าน โซนแนวต้าน 1,590-1,620 จุด กลยุทธ์ในภาพใหญ่ไม่เปลี่ยน คือ รอเลือกซื้อกลุ่มหุ้นเปิดเมือง ระยะสั้นกลุ่มที่ลงเยอะ (อาทิ ไฟแนนซ์ อสังหาริมทรัพย์) มีโอกาสเป็นเป้าหมายเก็งกำไร แต่ไม่ถือถึงงบออก ส่วนกลุ่มพลังงานสามารถเก็ง PTTEP ตามแนวรับ ส่วนหุ้นโรงกลั่นกำไรไตรมาส 3 ชะลอหนัก เก็งกำไรระมัดระวัง (ถ้าจะเลือก ชอบ SPRC) //หุ้นแนะนำ: ASW*, TU*, SPA*, TVDH*

แนวรับ: 1,579 / แนวต้าน : 1,595-1,620 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 

ประเด็นการลงทุน

จีนเผย GDP ขยายตัว 3.9% ในไตรมาส 3 สูงกว่าคาดการณ์ – GDP ไตรมาส 3/2565 ขยายตัว 3.9% yoy ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่คาดว่าจะขยายตัวราว 3.3% - 3.4%

จีนส่งออกชะลอตัวในเดือนก.ย. - ยอดส่งออกเดือนก.ย.ปรับตัวขึ้น 5.7% yoy ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนส.ค.ที่มีการขยายตัว 7.1% เนื่องจากอุปสงค์ที่ซบเซาในตลาดต่างประเทศยังคงสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

ภูเก็ต ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญกว่า 4,500 คน – นักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มแรก จำนวนกว่า 4,500 คน ที่เดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต โดยเรือสำราญ SPECTRUM OF THE SEA ซึ่งเดินทางมาจากประเทศสิงคโปร์

คาดหุ้นเข้า SET50/100 – หลังปรับเกณฑ์คำนวณลด Turnover Ratio เหลือ 2% รอบครึ่งปีหลัง 2566 ได้แก่ DELTA-BJC-RATCH-COM7-THG-AAV-NEX-JAS

PTTEP เร่งผลิตก๊าซเอราวัณครบ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตปี 67 – พร้อมเจรจากรมเชื้อเพลิงธรรมชาติยืดสัญญาออกไป 2 ปี

IPO หุ้น ITNS เทรดวันแรก - บมจ.อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ตเวิร์ค ซิสเต็ม เข้าเทรดตลาด mai ราคา IPO 3.89 บาท

ตลท.ให้ ARIP ใช้เกณฑ์ Cash Balance – ตั้งแต่ 25 ต.ค.-11 พ.ย.65

 

ประเด็นติดตาม: 25 ต.ค. – US CB Consumer Confidence / 26 ต.ค. - US New Home Sales, US Crude Oil Inventories / 27 ต.ค. - ECB Interest Rate Decision, US GDP Q3 / 28 ต.ค. – US Core PCE Price Index, US Pending Home Sales / 31 ต.ค. – EU CPI / 1 พ.ย. - ISM Manufacturing PMI

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)