ขึ้นต่อ หุ้นรายงานพิเศษ SECURE (5 ต.ค. 2565)

ขึ้นต่อ หุ้นรายงานพิเศษ SECURE (5 ต.ค. 2565)

วันอังคารที่ผ่านมา ดัชนีรีบาวนด์ขึ้นแข็งแกร่ง หลังตลาดคลายความกังวลแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด สะท้อนได้จากผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐอ่อนตัวลงระดับ 3.56% โดยสอดคล้องกับตลาดในภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นราว 1-2%

ขณะที่แรงซื้อกลับมาจากนักลงทุนรายย่อยราว 2,060 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อจากหุ้นใหญ่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ท่องเที่ยวและพลังงาน ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่1,578.00 จุด +19.95 จุด +1.28% มูลค่าการซื้อขาย 64,005 ลบ. ต่างชาติ -1,313.93 ลบ. TFEX -13,744 สัญญา ตราสารหนี้ -96.27 ลบ.

 

ปัจจัยบวก  

+ ดัชนีดาวโจนส์ปิด พุ่งขึ้น 825.43 จุด หรือ +2.80% ขณะที่ดัชนี S&P500 ทำถิติพุ่งขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางออสเตรเลียปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ยังทำให้นักลงทุนคาดหวังว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 2.89 ดอลลาร์ หรือ 3.5% ปิดที่ 86.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 2565 โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร หรือโอเปคพลัส จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ในการประชุมวันนี้ นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อในตลาดน้ำมัน
+ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 1.1 ล้านตำแหน่ง สู่ระดับ 10.1 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2564 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 11.1 ล้านตำแหน่ง

+ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 58.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ให้น้ำหนักสูงถึง 68.1%
 

 

+ ธปท. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 65-66 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัว และภาคการท่องเที่ยว โดยยืนยันเสถียรภาพของไทยอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ทุนสำรองเมื่อเทียบกับต่างประเทศ อยู่ในระดับสูง

 

ปัจจัยลบ 

- เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยในวันนี้ว่า กิจกรรมของภาคโรงงานในเกาหลีใต้หดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนก.ย. ซึ่งนับเป็นอัตราการหดตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ท่ามกลางอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแอ
- เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธข้ามภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 5 ปี ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่ยิงขีปนาวุธลงสู่ทะเลญี่ปุ่น แม้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติก็ตาม
- สนพ. เปิดเผยถึงสถานการณ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ พบว่า เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ของภาครัฐ

 

แนวโน้มตลาดวันนี้  

คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดโลก หลังจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นต่อเนื่องหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน คาดกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,570-1590 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุน

• หุ้นซ่อมแซมหลังน้ำท่วม : GLOBAL DOHOME HMPRO TOA COTTO DCC TASCO
• ศบค. มีมติยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน : ERW CENTEL VRANDA ASAP SPA
• ตัวเลขส่งออกเดือน ส.ค. เติบโต : BRR KSL TFG GFPT ASIAN JUBILE
• หุ้นเด่น IAA : ADVANC AOT BBL KBANK

 

 

 

หุ้นรายงานพิเศษ

                              SECURE (Bloomberg Consensus - บาท) คาดผลประกอบการ 2H22 ฟื้นตัว

ขึ้นต่อ หุ้นรายงานพิเศษ SECURE (5 ต.ค. 2565)

 

•รายได้รวม 2Q22 อยู่ที่ 209.65 ลบ. เพิ่มขึ้น +2.27%YoY และกาไรสุทธิเท่ากับ 13.97 ลบ.ลดลง -24.55%YoY สาเหตุหลักมาจากสภาวะชิปขาดตลาด ซึ่งเริ่มรุนแรงตั้งแต่ปี 2020 ทาให้ทาง Vendors สามารถส่งมอบสินค้าประเภทฮาร์ดแวร์ให้กับบริษัทได้ช้าลง จากปัจจัยนี้ทาให้ทางบริษัทมุ่งเน้นในการขายสินค้าประเภทซอฟต์แวร์มากกว่าฮาร์ดแวร์ ในช่วง 2Q22 ส่งผลให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น ในด้านของอัตรากาไรขั้นต้น 2Q22 อยู่ที่ระดับ 17.9% ลดลง จาก 20.80% ใน 2Q21 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่อ่อนค่า ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น ขณะที่ได้ Lock ราคาขายกับทางลูกค้าไว้แล้วทาให้กาไรขั้นต้นลดลง
•ผู้บริหารคาดการรายได้ปี 2022 ไว้ที่ประมาณ 900 ลบ. ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ฝั่งของ ซอฟต์แวร์มากกว่าฮาร์ดแวร์ เนื่องด้วยสภาวะตลาดที่มีการขาดแคลนชิปและจะได้รับรู้รายได้จาก Backlog ของทางฮาร์ดแวร์ได้ในช่วงต้นปีหน้าเป็นต้นไป นอกเหนือจากนี้การร่วมลงทุน โดยบริษัทจัดตั้ง Joint Venture กับ บริษัท Datawow (บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นซึ่งเชี่ยวชาญด้านพัฒนาซอฟต์แวร์) ในนามบริษัท nDataThoth ผู้ให้บริการและพัฒนาซอฟต์แวร์เกี่ยวกับ PDPA, cybersecurity and security solutions ซึ่ง Secure ถือหุ้น 55% และ Datawow ถือหุ้น 45% และคาดว่าจะสร้างกาไรเพิ่มขึ้นได้ 5%-10%จากกาไรขั้นต้น

•ความเห็น : คาดการณ์กาไร 2H22 จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากความต้องการที่มีมากขึ้นด้านซอฟต์แวร์และการ resubcribes ของลูกค้าที่หมดสัญญาและ Backlog ของทางฝั่งฮาร์ดแวร์ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 2H22 รวมไปถึงการทา Forward contract เพื่อป้องกันความเสี่ยงสาหรับอัตราการแลกเปลี่ยนจะช่วยให้อัตรากาไรขั้นต้นดีขึ้น

 

หุ้นมีข่าว

(+) BCH ( Bloomberg Consensus 24.00 บาท) รับคนไข้ใน-นอกประเทศกลับมารักษา ผู้ป่วยเรื้อรังกลับมาปกติ ศูนย์การแพทย์เปิดให้บริการเพิ่ม คนไข้ประกันสังคมทะลุ 1 ล้านราย รับปีนี้รายได้ทะลุเป้าลุ้นแตะ 1.9 หมื่นล้านบาท ชี้เงินเฟ้อขึ้นค่ารักษาได้ เล็งเปิดโรงพยาบาลในสปป.ลาว เพิ่ม (ที่มา ทันหุ้น)

(+) JMART ( Bloomberg Consensus 65.00 บาท) ซุ่มดีลเข้าลงทุนใหม่อีกราว 3-4 ดีล คาดชัดเจนบางส่วนในปีนี้ เล็งทุ่มงบราว 2-3 หมื่นล้านบาท อัพไลน์ใหม่-เสริมแกร่งธุรกิจเดิม ปี 2566 วางผลงานโตมากกว่า 50% จากปีนี้ อานิสงส์แรงหนุนธุรกิจใหม่ แถมพลิกโฉมธุรกิจด้วย "ใจ" สร้างความร่วมมือ-เปลี่ยนภาพลักษณ์สู่ "โฮลดิ้งส์" เป้ามาร์เก็ตแคป 5 แสนล้านบาท ปี 2567 (ที่มา ทันหุ้น)

(+) WICE (Bloomberg consensus 15.60 บาท) ชูวอลุ่มขนส่งข้ามแดนเพิ่มขึ้น 30% เทียบจากครึ่งปีแรก สินค้ามาร์จิ้นสูงหนุน แถมจีนเปิดด่านชายแดนขนส่งได้ตามปกติ ด้านการขนส่งทางอากาศ-ทะเล วอลุ่มยังทรงตัว หันเน้นบริหารต้นทุนเพิ่มอัตราการทำกำไร มั่นใจรายได้เข้าเป้า 9,000 ล้านบาท โต 20% ตามเป้า (ที่มา ทันหุ้น)

(+) SISB (Bloomberg consensus 18.25 บาท) อ้าแขนรับนักเรียนจีนเพิ่มในปีการศึกษาหน้า 2566-2567 ส่วนทิศทางหลังโควิด-19 คลี่คลายตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3/2565 หนุนจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น 10% เทียบจากไตรมาสที่ 2/2565 ที่ 2,731 คน และปีนี้ไม่มีการลดค่าเทอมเหมือนปีการศึกษาแรก มั่นใจดันรายได้ปีนี้โตมากกว่า 20% จากปี 2564 ที่มีรายได้ 1,075.18 ล้านบาท (ที่มา ทันหุ้น)