’ธปท-คลัง-สมาคมแบงก์’ ลงนาม “SME Credit Boost” หนุนค้ำประกันสินเชื่อ ‘แสนล้าน‘

ธปท.-คลัง และสมาคมธนาคารไทย ร่วมลงนามโครงการ “SME Credit Boost” ค้ำประกันสินเชื่อใหม่ให้ผู้ประกอบการ หนุนสร้างสินเชื่อในระบบได้ 1 แสนล้าน เน้น SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นหลัก โดยขยายวงเงินค้ำประกันสูงสุด 150 ล้านบาทต่อราย
KEY
POINTS
- ธปท. กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย ร่วมลงนามโครงการ “SME Credit Boost” เพื่อค้ำประกันสินเชื่อใหม่ให้ผู้ประกอบการ หวังปล่อยสินเชื่อในระบบได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท
- โครงการมุ่งเน้นสนับสนุนกลุ่ม SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (เช่น ท่องเที่ยว, การแพทย์, เกษตรแปรรูป)
- กลไกนี้จะช่วยชดเชยความเสียหายด้านสินเชื่อสูงสุด 30% ขยายวงเงินค้ำประกันสูงสุด 150 ล้านบาทต่อราย เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
ล่าสุด นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทย ได้ลงนามในพิธีเปิดโครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ หรือ “SME Credit Boost” เพื่อสนับสนุนการปล่อย ‘สินเชื่อใหม่’ ที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยให้ธุรกิจกลุ่มเป้าหมาย โดยจะครอบคลุม
1.) SMEs ในภาคธุรกิจภายใต้โครงการ Reinvent Thailand (เช่น การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ เกษตรและเกษตรแปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และการค้า รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของอุตสาหกรรมข้างต้น) รวมถึงอุตสาหกรรมโลจิสติกส์
2.) SMEs และธุรกิจรายใหญ่ ที่มีแผนว่าจะนำสินเชื่อที่ได้รับไปใช้ยกระดับศักยภาพธุรกิจหรือพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน (เช่น ด้านดิจิทัลเทคโนโลยี การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต) หรือเสริมสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) ต่อเศรษฐกิจไทย
เงินทุนที่ใช้ในการดำเนินโครงการ จะนำมาจากงบกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ในปี 2569 ของธนาคารพาณิชย์จำนวน 20,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า โครงการจะช่วยให้มีสินเชื่อปล่อยใหม่เพิ่มขึ้นราว 100,000 ล้านบาท
โครงการนี้จะดำเนินการควบคู่ไปกับกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในรูปแบบเดิม เพื่อเป็นทางเลือกให้กับธุรกิจ โดยกำหนดวงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อรายสำหรับ SMEs และไม่เกิน 150 ล้านบาทต่อรายสำหรับธุรกิจรายใหญ่ เพื่อเป็นการทลายข้อจำกัดบางข้อของการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ที่มีวงเงินสินเชื่อจำกัดเพียง 40 ล้านบาทต่อราย
ทั้งนี้ SME Credit Boost กำหนดวงเงินชดเชยสูงสุดที่ 30% ของยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ สำหรับธุรกิจ SMEs ขนาดเล็ก (Micro SMEs) และลดหลั่นลงมาเป็น 20% และ 15% ตามขนาดธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะครอบคลุมสินเชื่อที่ออกใหม่ในระยะเวลา 2 ปีนับตั้งแต่เริ่มโครงการ และจะค้ำประกันต่อเนื่องไปอีก 7 ปี
โครงการถูกออกแบบให้แก้ปัญหาอย่างตรงจุด กล่าวคือ เน้นเพียง SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามที่โครงการ Reinvent Thailand กำหนดไว้เบื้องต้น เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การแพทย์ เกษตรแปรรูป ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และการค้า โดยมีความตั้งใจว่า SMEs เหล่านี้จะนำเงินทุนที่ได้รับไปใช้ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ หรือประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางด้านดิจิตอล
“ธปท. ปรับเปลี่ยนบทบาทจากการเน้นดูแลเศรษฐกิจมหภาค มาสู่การ ‘ยื่นมือ’ เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้มากขึ้น โดยถึงแม้ว่า SMEs จะมีส่วนสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 15% ของจีดีพี และยังเป็นภาคที่มีการจ้างงานมากที่สุดหรือกว่า 70% ทั่วประเทศ แต่ที่ผ่านมาสินเชื่อรายย่อยของประเทศไทยกลับขยายตัวติดลบยาวนาน 13 ไตรมาสติดต่อกัน ดังนั้น เราจึงต้องสนับสนุนสภาพคล่องของสินเชื่อดังกล่าว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว” นายวิทัยกล่าว
นอกจากนี้ นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาธนาคารไทย ยังกล่าวอีกว่า การส่งเสริมให้ SMEs สามารถแข่งขันได้ผ่านการชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิต ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพโดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้สามารถพัฒนาขีดความสามารถของธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและเพิ่มอัตราการจ้างงาน
“SMEs คือกระดูกสันหลัง หรือคิดเป็นกว่า 55% ของธุรกิจในภาคเอกชนทั้งหมด มาตรการชดเชยจะทำให้ธุรกิจเหล่านี้ยังอยู่ได้ในห่วงโซ่อุปทาน ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ อีกทั้งจะเป็นการนำธุรกิจที่ต้องพึ่งพาเงินนอกระบบให้กลับเข้าสู่ระบบ และมีรายได้ขั้นต่ำเพียงพอต่อการดำรงชีพ”
ด้านนายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในเวลาที่เปราะบางเช่นนี้ การช่วยธุรกิจรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในอัตราที่เหมาะสม จะเป็นการช่วยส่งเสริมสภาพคล่องให้กับสินเชื่อ และลดความเสี่ยงด้านเครดิตให้กับธุรกิจ โดยโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุน SMEs ให้แข่งขันได้ท่ามกลางการแข่งขันทางการค้าโลกที่รุนแรงขึ้น ทั้งนี้ การร่วมมือระหว่างหน่วยงานจะเป็นกลไกประคับประคอง และคลายความกังวลที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญอยู่เวลานี้







