'เงินหยวน' แข็งค่าสุดในรอบ 15 เดือน ตลาดเชื่อหลุดกรอบ 7 หยวนต่อดอลลาร์

ค่าเงินหยวนของจีน แข็งค่าต่อเนื่องทุบสถิติสูงสุดในรอบ 15 เดือน แม้ PBOC พยายามสกัดผ่านการกำหนดอัตรากลาง นักวิเคราะห์เชื่อจะแข็งค่าต่อเนื่องไปถึงปีหน้า หลุด 7 หยวนต่อดอลลาร์แน่ แต่ไม่นาน
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า "เงินหยวนจีน" แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในวันนี้ (23 ธ.ค.68) ซึ่งเป็นการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) เริ่มส่งสัญญาณแสดงความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินหยวน ผ่านการกำหนดอัตรากลางเงินตราอย่างเป็นทางการก็ตาม
นับตั้งแต่ต้นปี 2025 เงินหยวนแข็งค่าขึ้นไปแล้วมากกว่า 3.8% และมีแนวโน้มจะปิดสิ้นปีด้วยการปรับแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา จากปัจจัยจากการอ่อนค่าลงของดอลลาร์ในวงกว้าง ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐที่ผ่อนคลายลง และการส่งออกของจีนที่ยังคงแข็งแกร่ง
บรรดาสถาบันการลงทุนระดับโลกคาดว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินหยวนจะต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า 2026 และมีโอกาสทดสอบระดับจิตวิทยาสำคัญที่ "7 หยวนต่อดอลลาร์" ซึ่งอยู่ห่างจากระดับปัจจุบันเพียงไม่ถึง 0.5% อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเป็นการแข็งค่าอย่างจำกัด
เคลวิน ลัม นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้านจีนจากบริษัท Pantheon Macroeconomics เชื่อว่าจีนจะยอมให้เงินหยวนแข็งค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่จะไม่ปล่อยให้เกิดความผันผวนรุนแรง เพื่อหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรทางเดียว และความไร้เสถียรภาพในตลาด
“ความไร้เสถียรภาพท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัว เป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ” ลัม กล่าว พร้อมคาดการณ์ค่าเงินหยวนที่ประมาณ 6.95 หยวนต่อดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2026
ทั้งนี้ ก่อนเปิดตลาดในวันอังคารที่ 23 ธ.ค.68 ธนาคารกลางจีน ได้กำหนดอัตรากลางเงินหยวนไว้ที่ 7.0523 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.2567 แต่ยังอ่อนกว่าประมาณการของรอยเตอร์สที่ระดับ 7.0267 หยวนต่อดอลลาร์
ส่วนต่างระหว่างอัตรากลางอย่างเป็นทางการของ PBOC กับประมาณการตามกลไกตลาดของรอยเตอร์ส แสดงถึงความคลาดเคลื่อนในฝั่ง "อ่อนค่า" ที่มากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บข้อมูลในปี 2022 ขณะที่นักค้าเงินมองว่า การกำหนดอัตรากลางอ่อนกว่าที่คาด เป็นความพยายามของทางการจีนในการสกัดการแข็งค่าของเงินหยวนที่รุนแรงเกินไป
ด้านแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องเปิดเผยว่า ธนาคารขนาดใหญ่ของรัฐหลายรายได้เข้าซื้อดอลลาร์ และขายเงินหยวนในตลาดสปอตออนชอร์ เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินหยวน
ในตลาดสปอต เงินหยวนในประเทศ (ออนชอร์) แข็งค่าขึ้นไปแตะระดับ 7.0281 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.2567 ก่อนจะซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 7.0285 ณ เวลา 11:02 น. วันนี้ตามเวลาในไทย ส่วนเงินหยวนนอกประเทศ (ออฟชอร์) ก็ปรับแข็งค่าตามทิศทางเดียวกัน โดยล่าสุดซื้อขายอยู่ที่ระดับ 7.0203 หยวนต่อดอลลาร์
นักค้าเงินระบุว่า เงินหยวนยังได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ตามฤดูกาลที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกมักเร่งแปลงรายได้จากเงินตราต่างประเทศเป็นสกุลเงินท้องถิ่นในช่วงปลายปี เพื่อใช้ชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งด้านธุรการ และค่าจ้างพนักงาน
นักวิเคราะห์คาดแข็งค่าหลุด 7 หยวนแน่ แต่ไม่นาน
เจสัน เชงเกอร์ ประธานบริษัท Prestige Economics เปิดเผยกับบลูมเบิร์กว่า เงินหยวนของจีนมีโอกาสแข็งค่าทะลุระดับสำคัญที่ 7 หยวนต่อดอลลาร์ ภายในราว 6 เดือนข้างหน้า ก่อนจะกลับมาอ่อนค่าลงบางส่วน และปิดสิ้นปี 2026 ที่ระดับประมาณ 7.03 หยวนต่อดอลลาร์ โดยการแข็งค่าทะลุระดับจิตวิทยาสำคัญมีแนวโน้มจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแรงกดดันต่อภาคการผลิตของจีน และกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ยังซบเซา
เชงเกอร์ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่แม่นยำที่สุดในการจัดอันดับนักวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์-หยวน ในตลาดออนชอร์ของบลูมเบิร์กช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมากล่าวด้วยว่า ค่าเงินหยวนที่แข็งค่าไม่ได้มี "คุณค่าทางยุทธศาสตร์" มากนักในการแก้ไขความตึงเครียดทางการค้าที่จีนกำลังเผชิญอยู่ และได้ปรับคาดการณ์ค่าเงินหยวน ณ สิ้นปี 2026 เป็นแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากเดิมให้ไว้ที่ 7.05 หยวน
อย่างไรก็ตาม มุมมองของเชงเกอร์ยังผ่อนปรนมากกว่ามุมมองของธนาคารเพื่อการลงทุนอีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึง "โกลด์แมน แซคส์" ที่เพิ่งปรับเพิ่มคาดการณ์ระยะ 12 เดือนว่า อัตราแลกเปลี่ยนของจีนอาจแข็งค่าขึ้นมากจนไปแตะระดับ 6.85 หยวนต่อดอลลาร์ ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ในจีนเอง และอดีตเจ้าหน้าที่แบงก์ชาติบางรายยังเสนอให้ปักกิ่งปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น เพื่อช่วยปรับสมดุลเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับสองของโลก และลดแรงเสียดทานทางการค้า
เชงเกอร์ กล่าวว่า ค่าเงินที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อผู้ส่งออก เศรษฐกิจ และเสถียรภาพของจีน เนื่องจากทำให้สินค้าจีนมีราคาสูงขึ้น โดยแรงกดดันดังกล่าวเริ่มปรากฏชัดหลังจากดัชนีภาคการผลิตของภาคเอกชนที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในเดือนพ.ย. ที่ผ่านมา
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







