‘ศุภวุฒิ’ ชี้โครงสร้างเศรษฐกิจพัง เสี่ยง ‘จีดีพี‘ โตต่ำ 1% ย้ำไทยเร่งยกเครื่อง

‘ศุภวุฒิ’ ชี้โครงสร้างเศรษฐกิจพัง เสี่ยง ‘จีดีพี‘ โตต่ำ 1% ย้ำไทยเร่งยกเครื่อง

“ศุภวุฒิ” เตือนการเติบโตไทยกำลังเสื่อมถอยลงพร้อมกันหลายด้าน เต็มไปด้วยปัญหาโครงสร้างประชากร พลังงาน การค้าโลก การดึงดูดเงินลงทุนและศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย

KEY

POINTS

  • ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ เตือนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญวิกฤตเชิงโครงสร้างที่รุนแรง ไม่ใช่แค่ความผันผวนระยะสั้น เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในอดีตกำลังเสื่อมถอยลง
  • ปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมสูงวัย, พลังงานในประเทศทลดลง, ภูมิรัฐศาสตร์โลกหมดเสน่ห์ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
  • หากไม่ปฏิรูปอย่างจริงจัง เศรษฐกิจไทยเสี่ยงจีดีพีต่ำกว่า 1% อาจเข้าสู่ภาวะชะงักงันถาวร
  • ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่ง "ยกเครื่อง" หรือปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่
  • เพื่อหลีกเลี่ยงการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องและการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก

เศรษฐกิจไทยในวันนี้ ไม่ได้เผชิญเพียงความผันผวนระยะสั้นตามวัฏจักรเศรษฐกิจ หากแต่กำลังยืนอยู่บนทางแยกเชิงโครงสร้างที่ชี้ชะตาการเติบโตของประเทศระยะยาว 
 

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ออกมาเตือนผ่านการให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ deep talk กรุงเทพธุรกิจว่า แรงขับเคลื่อนพื้นฐานที่เคยทำให้ไทยเติบโตอย่างโดดเด่นในอดีต กำลังเสื่อมถอยลงพร้อมกันหลายด้าน

ตั้งแต่โครงสร้างประชากร พลังงาน การค้าโลก ไปจนถึงความสามารถในการดึงดูดเงินลงทุนและศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย 
หากไทยไม่เร่งปรับตัวอย่างจริงจัง เศรษฐกิจไทยอาจไม่เพียงชะลอตัว แต่เสี่ยงเข้าสู่ภาวะ “ชะงักงันถาวร”และค่อย ๆ สูญเสียบทบาทบนเวทีเศรษฐกิจโลกอย่างไม่มีวันหวนกลับ

ศุภวุฒิ มองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่รุนแรงและซ้อนทับกันหลายชั้น ไม่ใช่เพียงความผันผวนระยะสั้น แต่เป็นการหมดแรงขับเคลื่อนพื้นฐานที่เคยทำให้ไทยเติบโตได้ดีในอดีต “หากไม่เร่งปรับตัว ประเทศอาจเข้าสู่ภาวะชะงักงันถาวร”

หากย้อนดูเศรษฐกิจไทยในอดีต จากในช่วงทศวรรษ 1990 ไทยเคยมีศักยภาพเติบโตสูงจนเกือบก้าวขึ้นเป็น “เสือตัวใหม่ของเอเชีย” เพราะมีปัจจัยพื้นฐาน 5 ปัจจัยที่เอื้อ แต่ปัจจัยเหล่านั้นวันนี้กลับเปลี่ยนจากแรงหนุนเป็นแรงถ่วง ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

ปัจจัยแรก โครงสร้างประชากร ในอดีตไทยมีประชากรวัยแรงงานจำนวนมาก อายุเฉลี่ยยังต่ำ เป็นพลังขับเคลื่อนการผลิต แต่ปัจจุบันไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว อายุมัธยฐานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แรงงานใหม่เข้าสู่ระบบน้อยลงอย่างน่ากังวล

ปัจจัยที่สอง ทรัพยากรพลังงาน ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งเคยเป็นพลังงานราคาถูกและเป็นฐานสำคัญของอุตสาหกรรม กำลังร่อยหรอจนใกล้หมด ทำให้ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานมากขึ้น ทั้งจากเมียนมาและก๊าซ LNG จากตลาดโลก

ปัจจัยที่สาม ภูมิรัฐศาสตร์ เดิมไทยได้เปรียบจากการเป็นประเทศสงบในช่วงที่เพื่อนบ้านเพิ่งพ้นสงคราม แต่ปัจจุบันโลกกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งของมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐกับจีน ทำให้การค้าโลกเข้าสู่ยุคกีดกันทางการค้าและความไม่แน่นอนสูง

ปัจจัยที่สี่ ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติในอดีต เงินเยนแข็งค่าทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานผลิตมาไทย แต่วันนี้นักลงทุนมีทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจกว่า ทั้งเวียดนามและอินโดนีเซีย

ปัจจัยสุดท้าย บริบทการค้าโลกที่เปลี่ยนไป จากยุคการค้าเสรีที่สหรัฐเป็นผู้นำ สู่ยุคที่อเมริกาหันมาปกป้องตลาดตัวเอง ขณะที่จีนพัฒนาอุตสาหกรรมจนมีศักยภาพสูงกว่าไทยในหลายมิติ

ไม่เพียงเท่านั้น “เศรษฐกิจไทย” ยังเผชิญกับปัจจัยฉุดรั้งถาโถมอย่างมากจากหลายปัจจัยที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งจาก ความเสี่ยงแรงงานและสังคมสูงวัย การลดลงของประชากรวัยแรงงาน ซึ่งเป็นหัวใจของระบบเศรษฐกิจ

โครงสร้างเช่นนี้หมายความว่า คนทำงานต้องแบกรับภาระการดูแลคนสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขณะที่กำลังการผลิตของประเทศกลับลดลง
ดังนั้น บนเงื่อนไขนี้ GDP ไทยอาจเติบโตได้เพียงปีละ 1% หรือต่ำกว่านั้น และไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนาประเทศ

ไทยยังเผชิญความเสี่ยงด้านพลังงานและต้นทุนเศรษฐกิจ เมื่อก๊าซในอ่าวไทยลดลง ไทยต้องนำเข้าก๊าซ LNG ปีละราว 8,000-9,000 ล้านดอลลาร์ยังไม่รวมพลังงานจากเมียนมาและไฟฟ้าพลังน้ำจากลาวเพื่อเสถียรภาพระบบไฟฟ้า

หากไทยไม่สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานต้นทุนต่ำ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานที่ได้มาฟรี ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศที่มีทรัพยากรพลังงานของตนเอง

นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากสงครามการค้าและความเสี่ยงจากสหรัฐยังสูงต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกมากกว่า 50% ของ GDP จึงเปราะบางอย่างยิ่งต่อความเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐ ซึ่งความเสี่ยงจากกำแพงภาษีที่รุนแรง

วันนี้การส่งออกไปสหรัฐคิดเป็นถึง 20% ของการส่งออกทั้งหมด และไม่มีตลาดใดสามารถทดแทนได้ในระยะสั้น จีนเองก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะไทยขาดดุลการค้ากับจีนมหาศาล ขณะที่เศรษฐกิจรัสเซียมีขนาดเล็กเกินไป”

สิ่งที่น่าห่วงต่อเนื่อง คือกับดักหนี้และปัญหางบดุล ที่เราเผชิญมาต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะแก้ไม่ถูกจุด การแก้ปัญหาหนี้ของไทยในอดีตแก้ผิดจุดโดยเน้นพักชำระหนี้ ซึ่งเป็นการจัดการด้านหนี้สิน แต่ไม่เคยแก้ปัญหาด้านสินทรัพย์

ปัญหาคือสินทรัพย์ของคนไทยให้ผลตอบแทนต่ำ ไม่ก่อให้เกิดกระแสเงินสดเพียงพอในการชำระหนี้ ต่อให้พักหนี้กี่ครั้ง หากไม่เพิ่มรายได้หรือประสิทธิภาพสินทรัพย์ ปัญหาก็จะวนกลับมาเสมอ

สัญญาณอันตรายอีกด้านคือเงินทุนไทยไหลออกสุทธิไปต่างประเทศปีละ 8,000-9,000 ล้านดอลลาร์ สะท้อนนักลงทุนมองเศรษฐกิจไทยไม่มีโอกาสที่น่าสนใจเพียงพอ

ศุภวุฒิ ยังมองนโยบายการเงินและความเสี่ยงเงินฝืดยังเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ใช่ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทย จากภาวะเงินเฟ้อต่ำหรือเริ่มใกล้เคียงกับคำว่าฝืด ทำให้ภาระหนี้จริงของประชาชนเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยสูงกว่าสหรัฐและถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน ไทยมีเงินสำรองระหว่างประเทศเกินความจำเป็นกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ แต่กลับไม่ถูกนำไปใช้เชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างรายได้หรือเสริมอำนาจทางเศรษฐกิจในเวทีโลก

ไม่เพียงเท่านั้น ประเทศไทยยังมีจุดอ่อนทางการเมืองและระบบราชการ โดยมองว่าปัญหาทางการเมือง ความไม่โปร่งใส และระบบราชการแบบไซโล ทำให้การปฏิรูปเศรษฐกิจทำได้ยาก ภาคเอกชนขาดความเชื่อมั่น และการพัฒนาทักษะแรงงานกระจัดกระจาย ไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานจริง

สุดท้ายแล้ว หากประเทศไทย “ไม่ปรับตัว”หากไทยยังคงเดินนโยบายแบบเดิม ระยะข้างหน้าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเรื่อยๆจาก 2-3% เหลือใกล้ 1% อุตสาหกรรมไทยจะแข่งขันกับจีนไม่ได้ และถูกกีดกันจากชาติตะวันตกมากขึ้น

ในที่สุด ไทยอาจกลายเป็นประเทศที่ไม่มีบทบาท ไม่มีอำนาจต่อรอง และถูกลืมในเวทีเศรษฐกิจโลก!!