ธปท.จัดระบบ‘หนี้’จ่อดึงนอนแบงก์สู่‘เครดิตบูโร’ เปิดทางจ่าย 10% หลุด 'ปิดหนี้ไวไปต่อได้’

ธปท.จัดระบบ‘หนี้’จ่อดึงนอนแบงก์สู่‘เครดิตบูโร’  เปิดทางจ่าย 10% หลุด 'ปิดหนี้ไวไปต่อได้’

ธปท.เร่งจัดระเบียบระบบ “ข้อมูลหนี้” เดินหน้าดึงนอนแบงก์และบริษัทลูกสถาบันการเงินเข้าสู่เครดิตบูโร เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและปิดช่องว่างการกำกับดูแล พร้อมขับเคลื่อนโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เปิดทางให้ลูกหนี้รายย่อยปิดจบหนี้เสียด้วยต้นทุนต่ำ ผ่านการรับซื้อหนี้โดย SAM ในราคาต่ำเฉลี่ยเพียง 6.2% ของมูลหนี้ และเอื้อให้ลูกหนี้สามารถเคลียร์หนี้ได้ในระดับราว 10% เพื่อออกจากวังวนหนี้เสียและเริ่มต้นใหม่อย่างเป็นธรรมทั้งระบบ

KEY

POINTS

 

  • ธปท. เตรียมผลักดันให้ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) เข้าสู่ระบบเครดิตบูโร เพื่อให้เห็นภาพรวมหนี้ของลูกหนี้อย่างครบถ้วนและเป็นธรรม
  • หนุนช่วยลูกหนี้เข้า “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” 
  • กำหนดให้ SAM เข้าซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงินในราคาที่ต่ำมาก โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6.2% ของมูลหนี้เดิม
  • ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับโอกาสในการปิดหนี้ทั้งหมด โดยชำระคืนเพียงประมาณ 10% ของยอดหนี้เดิม เพื่อหลุดพ้นจากวงจรหนี้สิน

การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยไม่ใช่เพียงโจทย์ทางเศรษฐกิจ หากแต่เป็นโจทย์เชิงโครงสร้างของระบบการเงินทั้งระบบ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามผลักดันมาตรการและโครงการต่างๆ เพื่อบรรเทาภาระหนี้รายย่อย และหนึ่งในโครงการที่ถูกจับตามองอย่างมากคือ

โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ซึ่งสะท้อนความพยายามของผู้กำกับดูแลในการจัดการหนี้เสียรายย่อยอย่างเป็นระบบ ลดความเหลื่อมล้ำ และเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถ “เริ่มต้นใหม่” ได้จริง

อีกด้านของการจัดการความเสี่ยงจากปัญหา “หนี้” ที่เป็นปัญหารุมเร้าในปัจจุบัน ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การแก้หนี้รายย่อยจะทำให้ครบมิติได้ ต้องทำให้ทุกองค์กร ทุกสถาบันการเงิน ทุก Non-bank และสหกรณ์ เข้าสู่ระบบเครดิตบูโร หากยังมีผู้เล่นจำนวนมากอยู่นอกระบบ การมองภาพหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายก็จะไม่ครบถ้วน

ในเชิงหลักการมาตรฐานการให้สินเชื่อของกลุ่มธนาคารควรตั้งอยู่บนข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น หากลูกหนี้รายหนึ่งมีหนี้ 300,000 บาท ที่กู้จากบริษัทลูกของธนาคาร แต่ไม่มีการรายงานข้อมูลเข้าสู่เครดิตบูโร ระบบทั้งหมดจะ “มองไม่เห็น” หนี้ก้อนนี้ทันที นั่นหมายความว่า ธนาคารอื่นไม่เห็น ผู้กำกับดูแลไม่เห็น และระบบการแก้หนี้ก็ไม่เห็น

สิ่งนี้ยังตอกย้ำถึง “ความไม่เท่าเทียม” ในการเข้าไปกำกับดูแล ไม่เท่าเทียมต่อการแข่งขันกับธนาคารอื่นหรือสถาบันการเงินอื่น และยังไม่แฟร์ต่อลูกหนี้รายอื่นในระบบด้วย เพราะทำให้มาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อและการช่วยเหลือแตกต่างกัน

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ แม้ลูกหนี้บางกลุ่มธนาคารนำบริษัทลูกเข้าสู่ระบบเครดิตบูโรทั้งหมด แต่ขณะที่ บางธนาคารกลับไม่นำบริษัทลูกบางแห่งเข้าสู่ระบบ สุดท้ายแม้เอื้อให้ผู้กู้ได้สินเชื่อสูงขึ้น แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พรม

เหล่านี้เป็นคำถามที่สะท้อนกลับมาหาผู้กำกับดูแลคือ ธปท. จะปล่อยให้ผู้ที่อยู่ในระบบเดียวกันมีมาตรฐานแตกต่างกันได้อย่างไร

โดยประเด็นนี้ถูกกลับมาถูกถึงอย่างมากในปัจจุบันภายใต้ “วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองว่าการมีหลายมาตรฐานเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและไม่แฟร์กับคนที่อยู่ในระบบ

จนเดินทางมาสู่โครงการสำคัญคือ “โครงการ ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” กำหนดเงื่อนไขสำคัญว่า การรวมหนี้เสียของลูกหนี้แต่ละรายต้องไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อให้สามารถนำมาจัดการในโครงการได้ แต่พบว่ามีบริษัทลูกบางแห่งไม่รายงานข้อมูลเข้าสู่เครดิตบูโร ดังนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าหนี้รวมของลูกหนี้รายนั้นเกินหนึ่งแสนบาทหรือไม่

ที่สำคัญการที่ บริษัทเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในข้อมูลเครดิตบูโร ยิ่งซ้ำเติมลูกหนี้ เพราะลูกหนี้กลุ่มนั้นจะ “หลุด” จากการช่วยเหลือ และต้องเผชิญกับการทวงหนี้อย่างต่อเนื่องอยู่ข้างนอก นี่คือผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำ

ล่าสุดจึงนำมาสู่ความพยายามของ ธปท. เกี่ยวหารือในประเด็นการนำ​ “นอนแบงก์” เข้าสู่ระบบเครดิตบูโรเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้รับความเป็นธรรมในการแก้ไขหนี้ครั้งนี้ จึงจะนำมาสู่การประชุมร่วมกันระหว่างสถาบันการเงิน สมาคมธนาคารไทย และธปท.เพื่อถกเรื่องนี้จริงๆจังที่คาดว่าการหารือเร็วๆนี้

ไม่เพียงเท่านั้น การหารือเพื่อเดินหน้าโครงการปิดหนี้ไวไปต่อได้ จะมีการประชุมในที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ในสัปดาห์หน้า เพื่อเปิดทาง หรือให้อำนาจแก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) ผู้ได้รับมอบกรรมสิทธิ์ในการเข้าไปรับซื้อหนี้จากสถาบันการเงิน ที่จะเริ่มโครงการต้นเดือน ม.ค.2569  

โดย กนง.จะมีการอนุญาต ให้ SAM สามารถใช้วงเงินจาก “กองทุนฟื้นฟู” ที่มาจากเงินที่สถาบันการเงินใส่เข้ามาเพื่อช่วยโครงการคุณสู้เราช่วยในครั้งก่อนหน้านี้ เพื่อนำเงินมาซื้อหนี้จากสถาบันการเงิน และช่วยเหลือลูกหนี้ต่อไป

ธปท.จัดระบบ‘หนี้’จ่อดึงนอนแบงก์สู่‘เครดิตบูโร’  เปิดทางจ่าย 10% หลุด 'ปิดหนี้ไวไปต่อได้’

ที่หลุดออกมาล่าสุดคือ การเข้าไปซื้อหนี้ของ SAM ในโครงการปิดหนี้ไว ไปต่อได้ จะต้องเป็นอัตราที่ต่ำมากๆ หรือเรียกว่าแฮร์คัทหนี้ลงสุดๆ เพื่อเปิดทางให้ลูกหนี้สามารถมาปิดจบหนี้และออกจากวังวนหนี้เสียนี้ให้ได้

โดยเบื้องต้น มีการกำหนดอัตราการเข้าไปซื้อหนี้ของ SAM คือ เฉลี่ยแล้วต้องไม่เกิน 6.2%ของมูลหนี้ หรือพูดง่ายๆคือ หนี้ 100 บาท ซื้อมาเพียง 6.2 บาท

ตัวเลขนี้สะท้อนแนวคิดสำคัญว่า หาก SAM จะสามารถจูงใจให้ลูกหนี้ “ปิดจบหนี้” ได้จริง การแฮร์คัทหนี้จะต้องสูงมาก และต้องเปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถชำระได้จริง

ในนี้ยังกำหนดอีกว่าการซื้อหนี้แต่ละประเภท มีอัตราการซื้อหนี้ที่แตกต่างกัน หากเป็นบัตรเครดิตจะอยู่ที่ 2-14% อยู่ที่วันค้างชำระ ค้างนานการซื้อหนี้ยิ่งต้องถูก

การทำเช่นนี้ เหมือนบังคับ SAM ไปกลายๆ ว่า ในเมื่อมีต้นทุนในการเข้าไปซื้อหนี้ในราคาถูกมาก คือเฉลี่ย 6.2% ของมูลหนี้ SAM เองก็ไม่ควรไปไล่บี้เรียกเก็บหนี้จาก “ลูกหนี้” ในอัตราสูงๆ ใกล้เคียงกับวงเงินเดิม ซึ่งหากบวกการบริหารจัดการไป การชำระคืนของลูกหนี้เพื่อปิดจบหนี้ควรไม่เกิน 10บาทด้วยซ้ำไป

“ถามว่าแบงก์เสียหรือได้อะไร จากการเข้าโครงการครั้งนี้ หนี้เหล่านี้แบงก์ได้สำรองเต็มไปแล้ว 100% การขายหนี้ส่วนหนี้ให้ SAM

นอกจากจะทำให้หนี้เสียในระบบลดลง แบงก์ยังมีโอกาสได้กำไร จากการขายหนี้มาที่ 6.2% เข้าแบงก์เต็มๆ แปลว่าแบงก์เองก็ไม่เสียประโยชน์อะไร ดีกว่าเก็บเก่าไว้เป็นต้นทุนของแบงก์ในอนาคต”

และภายใต้ต้นทุน คาดว่า SAM เอง เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ปิดหนี้จบ แล้วออกจากโครงการไป จะมีการประกาศให้ลูกหนี้สามารถปิดหนี้ได้ด้วยการชำระเพียง 10% ของมูลหนี้ เพื่อออกจากวังวนหนี้ครั้งนี้

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าภารกิจของ ธปท.ในการผลักดันโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ไม่ได้หยุดอยู่แค่การลดหนี้ให้ลูกหนี้บางกลุ่ม แต่คือการ “จัดระเบียบระบบข้อมูลหนี้” เพื่อให้การแก้หนี้ในอนาคตทำได้อย่างตรงจุด เป็นธรรม และไม่สร้างความเหลื่อมล้ำซ้ำซ้อน