ธปท.ถกคลังคุมเข้ม ‘ผู้ค้าทอง‘ สกัด “บาทแข็ง” พบโฟลว์มหาศาลธุรกิจซื้อขายทองคำ

ธปท.ชี้ค่าเงินบาทแข็งเร็วและแรงผิดปกติ จากโฟลว์ขนาดใหญ่ใน “ธุรกิจทองคำ” เตรียมขยายอำนาจกำกับดูแลธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวกับทองคำ เร่งถก “คลัง” หาช่อง “กำกับ” ผู้ค้าทอง อุดช่องโหว่ผลกระทบ “เงินบาทแข็งค่า”
KEY
POINTS
- ธปท. ชี้ว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็วมีต้นตอสำคัญจากกระแสเงินทุน (โฟลว์) ขนาดมหาศาลในธุรกิจซื้อขายทองคำ
- โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำออนไลน์ที่ไม่มีการกำกับดูแลโดยตรง
- ธุรกรรมกระจุกตัวอยู่กับผู้ค้าทองรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ซึ่งมีสัดส่วนการขายดอลลาร์สูงถึง 70% ของตลาดทั้งหมดทั้งยังพบว่า กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Flow) โดยเฉพาะเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดการเงิน รวมถึงตลาดตราสารหนี้ และเป็นเงินจากนักลงทุนสถาบันเป็นหลักเงินลักษณะนี้ไม่ได้เป็นเงินร้อนที่เข้าออกเร็วเหมือนในอดีต แต่แม้เป็นเงินระยะยาว การไหลเข้าของเงินจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ ยังสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทองคำกระทบเงินบาทแข็งค่ารุนแรง
แต่ปัจจัยที่สร้างแรงกระแทกต่อค่าเงินบาทอย่างรุนแรงที่สุดในรอบนี้ คือ ธุรกิจการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำในรูปแบบที่ไม่ใช่ทองคำจริง ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากการซื้อขายทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณแต่เกิดจากการซื้อขายทองคำในรูปแบบ “Paper” ซึ่งเป็นการซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันหรือระบบออนไลน์ ตลาดทองคำลักษณะนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้ไม่มีใครสามารถระบุขนาดที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน แต่ประเมินว่า มูลค่าซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันทั้งหมด อาจมีขนาดสูงถึง 40-50% ของ GDP สะท้อนถึงการเติบโตที่รวดเร็วและขนาดที่ใหญ่ผิดปกติ
ทั้งนี้ปัจจุบันมีผู้ค้าทองคำรายใหญ่ประมาณ 15 ราย จำนวนนี้มีผู้ค้าหลักที่มีบทบาทสำคัญทำธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนเพียง 3-4 รายเท่านั้น ทำให้ความเสี่ยงกระจุกตัวสูงมาก และวันที่ค่าเงินบาทแข็งค่ารุนแรง ปริมาณซื้อขาย FX จากร้านทองสามารถพุ่งขึ้นไปถึงเกือบ 20% ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาด เป็นระดับที่สร้างแรงกระแทกต่อค่าเงินชัดเจน
ที่สำคัญที่สุด เมื่อพิจารณาเฉพาะฝั่งการขายดอลลาร์ ซึ่งเป็นฝั่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า พบว่าร้านทองรายใหญ่กลุ่มนี้ มีส่วนแบ่งการขายดอลลาร์สูงถึงประมาณ 70% ของตลาดทั้งหมด ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดเจนว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าไม่ได้เกิดจากตลาดโดยรวม แต่เกิดจากโฟลว์ขนาดใหญ่ที่มาจากธุรกิจทองคำเป็นหลัก
ที่สำคัญคือ ธุรกิจทองคำในลักษณะนี้ แทบไม่มีหน่วยงานใดเข้ามากำกับดูแลโดยตรง ทั้งที่มีผลกระทบต่อระบบการเงินและค่าเงินในวงกว้าง
“ผลกระทบที่เข้ามาในเงินบาท จากร้านทอง เมื่อเกิดการทำ Hedging และขายดอลลาร์และซื้อเงินบาท ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งธุรกรรมนี้เองที่กลายเป็นปัจจัยผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว”
ธปท.สกัดการแข็งค่าเงินบาททุกทาง
นายวิทัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาธปท.ดำเนินการเต็มที่ ทั้งเข้าไปดูแลอัตราแลกเปลี่ยนทุกวัน หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเต็มที่ภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ ขยายการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติเงินตราต่างประเทศ มาตรการเร่งด่วนที่ ธปท. ดำเนินการ ได้แก่ การสั่งให้ตรวจสอบเอกสารธุรกรรมขาย FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำทุกกรณีทันที เพื่อให้เห็นที่มาที่ไปของโฟลว์อย่างชัดเจน
ธปท. ยังขอให้กระทรวงการคลังแก้ประกาศกระทรวง เปิดทางให้ ธปท. มีอำนาจเรียกดูข้อมูลและกำกับดูแลในบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศมากขึ้น
อีกมาตรการหนึ่งคือ การเริ่มกำกับดูแลการนำเงินดอลลาร์เข้าประเทศ โดยกำหนดให้ต้องมีการแจ้งเอกสารและระบุที่มาของเงินอย่างชัดเจน แม้การนำเงินเข้าจะเป็นเสรีมานานหลายสิบปี
“มาตรการเหล่านี้ จะไม่ใช่มาตรการรุนแรง ไม่มีการเก็บภาษี ไม่มีการปิดกั้นเงินทุนเหมือนอดีต เช่น มาตรการปี 2010 เพราะเข้าใจดีว่าหากทำจะมีผลกระทบรุนแรง และธปท.ก็มีบทเรียนและความเจ็บปวดจาการทำมาตรการนี้แล้ว”
ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อน ธปท. จึงต้องประสานงานกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงการคลัง เพื่อหาหน่วยงานที่เหมาะสมในการกำกับดูแลธุรกิจทองคำโดยตรง
หารือตราสารหนี้-กลต.ลดผลกระทบเงินบาท
ขณะเดียวกัน ธปท. ยังหารือกับหน่วยงานผู้ออกตราสารหนี้รายใหญ่ ขอให้ชะลอออกตราสารหนี้ช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่า เพื่อลดแรงดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ รวมถึงยังมีการประสานงานกับ ก.ล.ต. และ ปปง. โดยเฉพาะในประเด็นการติดตามแหล่งที่มาของเงินคริปโต ซึ่งเชื่อมโยงกับกฎหมาย Travel Rule ที่จะช่วยให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบที่มาของเงินได้
นอกจากนี้ย้ำกว่า กรณีที่มีการตั้งประเด็นว่า การเทรด USDT เป็นสาเหตุหลักทำให้เงินบาทแข็งค่า ตัวเลขที่อ้างว่ามีการเทรด USD ที่เกี่ยวข้องกับ USDT สูงถึงเดือนละ 100,000 ล้านบาทนั้นไม่เป็นความจริง ตัวเลขจริงอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าที่ถูกกล่าวอ้างอย่างมากที่สำคัญ หากเป็นการซื้อขาย USDT อย่างถูกกฎหมาย จะไม่มีธุรกรรมซื้อขายดอลลาร์/บาท อยู่เบื้องหลัง จึงไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาท
ปัญหาที่ ธปท. ให้ความสำคัญ คือ เรื่องแหล่งที่มาของเงินทุน หากมีการซื้อขาย USDT ปริมาณมาก อาจสะท้อนถึงเงินทุนจากต่างประเทศที่ต้องการแปลงเป็นเงินบาท ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบว่าเป็นเงินเทาหรือไม่ มีกฎหมาย Travel Rule จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถติดตามเส้นทางเงินคริปโตได้ชัดเจน และมองเห็นภาพรวมของระบบได้ดีขึ้น
ห่วงเอสเอ็มอีหนี้เสียสูง
สิ่งที่น่าห่วงเวลานี้อีกด้านคือหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะในกลุ่มรายย่อยและ SME อยู่ในระดับสูงมาก NPL ของ SME อยู่ราว 8-9% และหากรวมสินเชื่อที่มีความเสี่ยงทั้งหมด ตัวเลขอาจสูงถึง 15-16% ซึ่งถือว่าสูงอย่างยิ่ง ขณะที่หนี้ภาคธุรกิจโดยรวมก็อยู่ในระดับกว่า 80% ของ GDP
โดย SME ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย เนื่องจาก SME เป็นผู้จ้างงานถึงประมาณ 70% ของแรงงานทั้งประเทศ และหากนับตามจำนวนกิจการจะสูงถึงเกือบทั้งหมดของระบบเศรษฐกิจ แต่ในด้านสินเชื่อกลับติดลบต่อเนื่องถึง 13 ไตรมาส หรือกว่า 3 ปี ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ยังมีผลประกอบการที่ดี และสถาบันการเงินก็ยังแข็งแกร่ง ส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวแบบ K-shape อย่างชัดเจน คือคนตัวเล็กและธุรกิจฐานรากได้รับผลกระทบหนัก ขณะที่รายใหญ่ยังไปต่อได้ และเมื่อ SME เข้าถึงสินเชื่อไม่ได้ ส่งผลโดยตรงต่อการลงทุน การสร้างรายได้ และการจ้างงาน ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ
ผู้ค้าทองพร้อมให้ “ข้อมูล”
ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าสมาคมผู้ค้าทองคำ และผู้ค้าทองคำนำเข้าส่งออกจะประชุมกับธปท. สัปดาห์หน้า (22 ธ.ค.) เพื่อทำความเข้าใจประเด็น และให้ข้อมูลชี้แจง ทางสมาคมเชื่อว่าการกำกับดูแลอาจกระทบต่อผู้ค้าทองรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องการนำเข้าส่งออกและออนไลน์ประมาณ 14 รายเป็นหลัก ไม่ใช่ร้านทองทั่วไป
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ หรือ “แม่ทองสุก" กล่าวว่า ผลกระทบของเงินบาทแข็งค่าต่อราคาทองนั้น จากการศึกษาพบว่ามีผลกระทบเพียง 7-8% เท่านั้น ไม่ใช่ 80-90% การแข็งค่าของเงินบาทและการขึ้นของราคาทองคำต่างมาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ซึ่งในทุกการหารือระหว่างผู้ค้าทองคำ กับธปท.บริษัทได้ชี้แจงข้อมูลไปแล้ว แต่ก็พร้อมให้ความร่วมมือให้ข้อมูลเพิ่ม
อ้อนแบงก์ลดดอกเบี้ย-ปล่อยกู้เพิ่ม
อย่างไรก็ตาม แม้คณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายรวมแล้วถึง 1.25% ในช่วง 1 ปี แต่ผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมยังมีจำกัดมาก เหตุผลสำคัญคือ ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การลดดอกเบี้ยไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมสูงวัย หรือเพิ่มผลิตภาพได้ อีกทั้งการลดดอกเบี้ยรวม 1% ในช่วงก่อนหน้า ส่งผลต่อ GDP ในปี 2568-2569 รวมกันไม่ถึง 0.2%
“ในด้านดอกเบี้ย ถามว่าเราลดอีกได้มั้ย ลดได้ พร้อมลด แต่ยอมรับว่ากระสุนเรามีน้อย ควรนำมาใช้ยามจำเป็น และการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมา ก็หวังว่า ธนาคารต่างๆจะลดดอกเบี้ยลงบ้าง และช่วยปล่อยกู้เพิ่มขึ้น แม้ความเสี่ยงสูงขึ้นก็ตามเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้และประคับประคองเศรษฐกิจกันในเวลาเดียวกัน”
แบงก์รัฐหั่นดอกเบี้ยกู้สูงสุด 0.25%
นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลงสูงสุด 0.25% ต่อปี
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป การปรับลดครั้งนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภท (MOR, MLR และ MRR) ของธนาคารออมสิน อยู่ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 แห่ง ช่วยเติมสภาพคล่องและลดต้นทุนการเงินให้ประชาชนและภาคธุรกิจได้ทันที
ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม โดยไม่มีการปรับลดตามดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ผู้ฝากเงิน และสนับสนุนภารกิจหลักของธนาคารในการส่งเสริมการออมให้มีความต่อเนื่อง
ธ.ก.ส. หนุนภาคเกษตรรับความเสี่ยง
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคการเกษตร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทเงินเกินบัญชี (MOR) ปรับลดลง 0.25% ต่อปี คงเหลือ 6.125%ต่อปี 2.อัตราดอกเบี้ยลูกค้านิติบุคคลชั้นดี (MLR) ปรับลดลง 0.10% ต่อปี คงเหลือ 6.025% ต่อปี
บสย. หั่น prime rate
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย.ประกาศปรับลด อัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.25% ต่อปี จากเดิม 5.60% เหลือ 5.35% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด และเป็นการปรับลดครั้งที่ 4 ของปี 2568 โดยจะมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป - ธปท. เตรียมประสานงานกับกระทรวงการคลังเพื่อขยายอำนาจในการกำกับดูแลและตรวจสอบธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับผู้ค้าทองคำอย่างเข้มงวด
- มาตรการเร่งด่วนที่เริ่มดำเนินการแล้วคือการสั่งตรวจสอบเอกสารธุรกรรมขายดอลลาร์ที่เกี่ยวกับทองคำทุกกรณี และเริ่มกำกับดูแลการนำเงินดอลลาร์เข้าประเทศเพื่ออุดช่องโหว่
ค่าเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็ว และรุนแรงช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพียงผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ หรือปัจจัยเศรษฐกิจโลก แต่มีต้นตอสำคัญจากโฟลว์ขนาดใหญ่ในธุรกิจซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะธุรกรรมแบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างลึกซึ้ง
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมขยายกรอบและอำนาจกำกับดูแลธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ เข้มตรวจสอบโฟลว์จากร้านทอง และประสานหลายหน่วยงาน เพื่ออุดช่องโหว่ที่กำลังกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินและเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Driving Thailand Toward Sustainable Wealth : เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน” ในงานสัมมนาประจำปี “Thailand Next Move 2026 : Wealth Creation ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน” จัดโดยวารสารการเงินธนาคาร
โดยกล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่ารวดเร็วและรุนแรงที่ผ่านมาว่าไม่ใช่ผลจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากการผสมกันของปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจโลก กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย และโครงสร้างของตลาดการซื้อขายทองคำในประเทศไทยเชื่อมโยงกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างลึกซึ้งกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด
ทั้งนี้ ธปท.ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และตระหนักดีว่าการแข็งค่าเงินบาทลักษณะนี้ สร้างผลกระทบต่อภาคส่งออก ภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจโดยรวม จำเป็นต้องเข้าไปจัดการกับ “ต้นตอของไฟลว์” ที่เข้ามามากกว่ามองปลายเหตุที่ตัวค่าเงิน
หากดูถึงปัจจัยกระทบต่อค่าเงินบาทได้รับแรงกระแทกหลักจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ปัจจัยแรกคือ ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจโลก (Fundamental) ซึ่งธนาคารกลางแต่ละประเทศแทบไม่สามารถควบคุมได้ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากถึงประมาณ 10% ภายในปีเดียว
การอ่อนค่าของดอลลาร์ระดับนี้ ย่อมส่งผลต่อทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีปัจจัยจากบัญชีเดินสะพัด (Current Account) โดยรวมถือว่าเป็นบวกมากกว่าปกติ แม้เริ่มเห็นสัญญาณติดลบบางช่วง แต่ในภาพรวมไทยยังไม่ได้อยู่ในสถานะขาดดุลเรื้อรังเหมือนบางประเทศทำให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อดอลลาร์อ่อน
ทั้งยังพบว่า กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Flow) โดยเฉพาะเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดการเงิน รวมถึงตลาดตราสารหนี้ และเป็นเงินจากนักลงทุนสถาบันเป็นหลักเงินลักษณะนี้ไม่ได้เป็นเงินร้อนที่เข้าออกเร็วเหมือนในอดีต
แต่แม้เป็นเงินระยะยาว การไหลเข้าของเงินจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นๆ ยังสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ทองคำกระทบเงินบาทแข็งค่ารุนแรง
แต่ปัจจัยที่สร้างแรงกระแทกต่อค่าเงินบาทอย่างรุนแรงที่สุดในรอบนี้ คือ ธุรกิจการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำในรูปแบบที่ไม่ใช่ทองคำจริง ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ได้มาจากการซื้อขายทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณแต่เกิดจากการซื้อขายทองคำในรูปแบบ “Paper”
ซึ่งเป็นการซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันหรือระบบออนไลน์ ตลาดทองคำลักษณะนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้ไม่มีใครสามารถระบุขนาดที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน
แต่ประเมินว่า มูลค่าซื้อขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันทั้งหมด อาจมีขนาดสูงถึง 40-50% ของ GDP สะท้อนถึงการเติบโตที่รวดเร็วและขนาดที่ใหญ่ผิดปกติ
ทั้งนี้ปัจจุบันมีผู้ค้าทองคำรายใหญ่ประมาณ 15 ราย จำนวนนี้มีผู้ค้าหลักที่มีบทบาทสำคัญทำธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยนเพียง 3-4 รายเท่านั้น ทำให้ความเสี่ยงกระจุกตัวสูงมาก และวันที่ค่าเงินบาทแข็งค่ารุนแรง ปริมาณซื้อขาย FX จากร้านทองสามารถพุ่งขึ้นไปถึงเกือบ 20% ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาด เป็นระดับที่สร้างแรงกระแทกต่อค่าเงินชัดเจน
ที่สำคัญที่สุด เมื่อพิจารณาเฉพาะฝั่งการขายดอลลาร์ ซึ่งเป็นฝั่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า พบว่าร้านทองรายใหญ่กลุ่มนี้ มีส่วนแบ่งการขายดอลลาร์สูงถึงประมาณ 70% ของตลาดทั้งหมด ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนชัดเจนว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าไม่ได้เกิดจากตลาดโดยรวม แต่เกิดจากโฟลว์ขนาดใหญ่ที่มาจากธุรกิจทองคำเป็นหลัก
ที่สำคัญคือ ธุรกิจทองคำในลักษณะนี้ แทบไม่มีหน่วยงานใดเข้ามากำกับดูแลโดยตรง ทั้งที่มีผลกระทบต่อระบบการเงินและค่าเงินในวงกว้าง
“ผลกระทบที่เข้ามาในเงินบาท จากร้านทอง เมื่อเกิดการทำ Hedging และขายดอลลาร์และซื้อเงินบาท ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งธุรกรรมนี้เองที่กลายเป็นปัจจัยผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว"
- ธปท.สกัดการแข็งค่าเงินบาททุกทาง
นายวิทัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาธปท.ดำเนินการเต็มที่ ทั้งเข้าไปดูแลอัตราแลกเปลี่ยนทุกวัน หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเต็มที่ภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ ขยายการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติเงินตราต่างประเทศ มาตรการเร่งด่วนที่ ธปท. ดำเนินการ ได้แก่
การสั่งให้ตรวจสอบเอกสารธุรกรรมขาย FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำทุกกรณีทันที เพื่อให้เห็นที่มาที่ไปของโฟลว์อย่างชัดเจน
ธปท. ยังขอให้กระทรวงการคลังแก้ประกาศกระทรวง เปิดทางให้ ธปท. มีอำนาจเรียกดูข้อมูลและกำกับดูแลในบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศมากขึ้น
อีกมาตรการหนึ่งคือ การเริ่มกำกับดูแลการนำเงินดอลลาร์เข้าประเทศ โดยกำหนดให้ต้องมีการแจ้งเอกสารและระบุที่มาของเงินอย่างชัดเจน แม้การนำเงินเข้าจะเป็นเสรีมานานหลายสิบปี
“มาตรการเหล่านี้ จะไม่ใช่มาตรการรุนแรง ไม่มีการเก็บภาษี ไม่มีการปิดกั้นเงินทุนเหมือนอดีต เช่น มาตรการปี 2010 เพราะเข้าใจดีว่าหากทำจะมีผลกระทบรุนแรง และธปท.ก็มีบทเรียนและความเจ็บปวดจาการทำมาตรการนี้แล้ว”
ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อน ธปท. จึงต้องประสานงานกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงการคลัง เพื่อหาหน่วยงานที่เหมาะสมในการกำกับดูแลธุรกิจทองคำโดยตรง
- หารือตราสารหนี้-กลต.ลดผลกระทบเงินบาท
ขณะเดียวกัน ธปท. ยังหารือกับหน่วยงานผู้ออกตราสารหนี้รายใหญ่ ขอให้ชะลอออกตราสารหนี้ช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่า เพื่อลดแรงดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ
รวมถึงยังมีการประสานงานกับ ก.ล.ต. และ ปปง. โดยเฉพาะในประเด็นการติดตามแหล่งที่มาของเงินคริปโต ซึ่งเชื่อมโยงกับกฎหมาย Travel Rule ที่จะช่วยให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบที่มาของเงินได้
นอกจากนี้ย้ำกว่า กรณีที่มีการตั้งประเด็นว่า การเทรด USDT เป็นสาเหตุหลักทำให้เงินบาทแข็งค่า ตัวเลขที่อ้างว่ามีการเทรด USD ที่เกี่ยวข้องกับ USDT สูงถึงเดือนละ 100,000 ล้านบาทนั้นไม่เป็นความจริง ตัวเลขจริงอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าที่ถูกกล่าวอ้างอย่างมาก
ที่สำคัญ หากเป็นการซื้อขาย USDT อย่างถูกกฎหมาย จะไม่มีธุรกรรมซื้อขายดอลลาร์/บาท อยู่เบื้องหลัง จึงไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาท
ปัญหาที่ ธปท. ให้ความสำคัญ คือ เรื่องแหล่งที่มาของเงินทุน หากมีการซื้อขาย USDT ปริมาณมาก อาจ
สะท้อนถึงเงินทุนจากต่างประเทศที่ต้องการแปลงเป็นเงินบาท ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบว่าเป็นเงินเทาหรือไม่ มีกฎหมาย Travel Rule จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถติดตามเส้นทางเงินคริปโตได้ชัดเจน และมองเห็นภาพรวมของระบบได้ดีขึ้น
- ห่วงเอสเอ็มอีหนี้เสียสูง
สิ่งที่น่าห่วงเวลานี้อีกด้านคือหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะในกลุ่มรายย่อยและ SME อยู่ในระดับสูงมาก NPL ของ SME อยู่ราว 8-9% และหากรวมสินเชื่อที่มีความเสี่ยงทั้งหมด ตัวเลขอาจสูงถึง 15-16% ซึ่งถือว่าสูงอย่างยิ่ง ขณะที่หนี้ภาคธุรกิจโดยรวมก็อยู่ในระดับกว่า 80% ของ GDP
โดย SME ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย เนื่องจาก SME เป็นผู้จ้างงานถึงประมาณ 70% ของแรงงานทั้งประเทศ และหากนับตามจำนวนกิจการจะสูงถึงเกือบทั้งหมดของระบบเศรษฐกิจ แต่ในด้านสินเชื่อกลับติดลบต่อเนื่องถึง 13 ไตรมาส หรือกว่า 3 ปี ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ยังมีผลประกอบการที่ดี และสถาบันการเงินก็ยังแข็งแกร่ง
ส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวแบบ K-shape อย่างชัดเจน คือคนตัวเล็กและธุรกิจฐานรากได้รับผลกระทบหนัก ขณะที่รายใหญ่ยังไปต่อได้ และเมื่อ SME เข้าถึงสินเชื่อไม่ได้ ส่งผลโดยตรงต่อการลงทุน การสร้างรายได้ และการจ้างงาน ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ
- ผู้ค้าทองพร้อมให้ “ข้อมูล”
ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าสมาคมผู้ค้าทองคำ และผู้ค้าทองคำนำเข้าส่งออกจะประชุมกับธปท. สัปดาห์หน้า (22 ธ.ค.) เพื่อทำความเข้าใจประเด็น และให้ข้อมูลชี้แจง
ทางสมาคมเชื่อว่าการกำกับดูแลอาจกระทบต่อผู้ค้าทองรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องการนำเข้าส่งออกและออนไลน์ประมาณ 14 รายเป็นหลัก ไม่ใช่ร้านทองทั่วไป
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ หรือ “แม่ทองสุก" กล่าวว่า ผลกระทบของเงินบาทแข็งค่าต่อราคาทองนั้น จากการศึกษาพบว่ามีผลกระทบเพียง 7-8% เท่านั้น ไม่ใช่ 80-90% การแข็งค่าของเงินบาทและการขึ้นของราคาทองคำต่างมาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
ซึ่งในทุกการหารือระหว่างผู้ค้าทองคำ กับธปท.บริษัทได้ชี้แจงข้อมูลไปแล้ว แต่ก็พร้อมให้ความร่วมมือให้ข้อมูลเพิ่ม
- อ้อนแบงก์ลดดอกเบี้ย-ปล่อยกู้เพิ่ม
อย่างไรก็ตาม แม้คณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายรวมแล้วถึง 1.25% ในช่วง 1 ปี แต่ผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมยังมีจำกัดมาก เหตุผลสำคัญคือ ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การลดดอกเบี้ยไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมสูงวัย หรือเพิ่มผลิตภาพได้ อีกทั้งการลดดอกเบี้ยรวม 1% ในช่วงก่อนหน้า ส่งผลต่อ GDP ในปี 2568-2569 รวมกันไม่ถึง 0.2%
“ในด้านดอกเบี้ย ถามว่าเราลดอีกได้มั้ย ลดได้ พร้อมลด แต่ยอมรับว่ากระสุนเรามีน้อย ควรนำมาใช้ยามจำเป็น และการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมา ก็หวังว่า ธนาคารต่างๆจะลดดอกเบี้ยลงบ้าง และช่วยปล่อยกู้เพิ่มขึ้น แม้ความเสี่ยงสูงขึ้นก็ตามเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้และประคับประคองเศรษฐกิจกันในเวลาเดียวกัน”
แบงก์รัฐหั่นดอกเบี้ยกู้สูงสุด 0.25%
นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลงสูงสุด 0.25% ต่อปี
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป การปรับลดครั้งนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภท (MOR, MLR และ MRR) ของธนาคารออมสิน อยู่ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 แห่ง ช่วยเติมสภาพคล่องและลดต้นทุนการเงินให้ประชาชนและภาคธุรกิจได้ทันที
ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม โดยไม่มีการปรับลดตามดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ผู้ฝากเงิน และสนับสนุนภารกิจหลักของธนาคารในการส่งเสริมการออมให้มีความต่อเนื่อง
ธ.ก.ส. หนุนภาคเกษตรรับความเสี่ยง
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคการเกษตร มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทเงินเกินบัญชี (MOR) ปรับลดลง 0.25% ต่อปี คงเหลือ 6.125%ต่อปี 2.อัตราดอกเบี้ยลูกค้านิติบุคคลชั้นดี (MLR) ปรับลดลง 0.10% ต่อปี คงเหลือ 6.025% ต่อปี
บสย. หั่น prime rate
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย.ประกาศปรับลด อัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.25% ต่อปี จากเดิม 5.60% เหลือ 5.35% ต่อปี ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด และเป็นการปรับลดครั้งที่ 4 ของปี 2568 โดยจะมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป







