‘ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง’ โตดัน ‘หนี้พุ่ง’ ระเบิดเวลาลูกใหม่ ‘เศรษฐกิจไทย’

จับตาซื้อก่อนผ่อนทีหลัง หรือ BNPL ระเบิดลูกใหม่เศรษฐกิจ เครดิตบูโร ชี้ "สินเชื่อซื้อก่อนผ่อนทีหลัง" เริ่มมีขนาดใหญ่ หนี้เสียสูง เอื้อคนอายุน้อยเข้าถึงสินเชื่อได้ ขาดการกำกับจาก ธปท.อาจเปิดช่อง "สะสมความเปราะบาง" สู่ระบบเศรษฐกิจไทย
KEY
POINTS
- ห่วง BNPL ส่งเสริมพฤติกรรมการใช้จ่ายเกินตัว
- สร้างความคุ้นชินกับการเป็นหนี้โดยไม่จำเป็น
- ก่อให้เกิด "หนี้ที่ซ่อนอยู่" นอกระบบทำให้สถาบันการเงินไม่เห็นภาพรวมภาระหนี้ที่แท้จริง ซึ่งอาจกลายเป็นระเบิดเวลาที่กระทบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
- มีช่องโหว่ด้านการกำกับดูแลทางกฎหมาย ผู้ให้บริการหลายรายไม่ได้อยู่ภายใต้กำกับ
บริการ Buy Now, Pay Later (BNPL) หรือซื้อก่อน จ่ายทีหลัง กำลังกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย ภายใต้บริบทของค่าครองชีพที่สูงขึ้น รายได้ที่เติบโตไม่ทันการใช้จ่าย และพฤติกรรมผู้บริโภคที่คุ้นชินกับความรวดเร็ว และความสะดวกสบายของแพลตฟอร์มดิจิทัล
ล่าสุด Bangkok Bank InnoHub คาดการณ์ว่า ตลาด BNPL ในประเทศไทย มีแนวโน้มเติบโตถึง 14.9% ในปี 2568 และจะมีมูลค่าสูงถึง 3.94 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 127,500 ล้านบาท ก่อนจะขยายตัวต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 10.9% ไปจนถึงปี 2573
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า BNPL ไม่ได้เป็นเพียงบริการเสริม หรือตัวช่วย เพื่อเอื้อให้คนเริ่มเข้าถึงสินเชื่อในระบบทางการเงิน แต่กำลังกลายเป็นโครงสร้างทางการเงินใหม่ที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคไทยอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การเติบโตที่หวือหวานี้ กลับซ่อนความน่ากังวลอย่างมาก ทั้งในมิติของพฤติกรรมการใช้จ่าย หนี้ครัวเรือน ความเสี่ยงด้านวินัยทางการเงิน และช่องโหว่เชิงโครงสร้างของระบบกำกับดูแล ซึ่งอาจทำให้ BNPLกลายเป็น “ระเบิดเวลาลูกใหม่” ของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
หากย้อนดูวัตถุประสงค์ของการเกิด BNPL คือ บริการที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้า และบริการได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนในทันที กระบวนการใช้งานถูกออกแบบให้เรียบง่าย และรวดเร็ว ผู้ซื้อเพียงเลือกชำระเงินผ่าน BNPL ระบบจะอนุมัติเครดิตอย่างรวดเร็ว
โดยมักตรวจสอบข้อมูลเพียงเล็กน้อย จากนั้นผู้ซื้อสามารถเลือกชำระเต็มจำนวนในเดือนถัดไป หรือผ่อนชำระเป็นงวดๆ ผ่านการตัดเงินอัตโนมัติจากบัญชีธนาคารหรือ e-wallet แม้หลายแผนจะโฆษณาด้วยดอกเบี้ย 0%
แต่ในความเป็นจริง แผนผ่อนระยะยาว 2-5 เดือน มักมีดอกเบี้ยอยู่ในช่วง 15-25% ต่อปี และหากผิดนัดชำระ จะถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราใกล้เคียงกัน
ดังนั้นความเสี่ยงสำคัญของ BNPL ไม่ได้อยู่ที่ตัวอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวแต่คือ การลด “แรงต้านทางจิตวิทยา” ต่อการเป็นหนี้ ผู้ใช้จำนวนมากไม่รู้สึกว่ากำลัง “กู้เงิน” เพราะกระบวนการทั้งหมดถูกทำให้แนบเนียนอยู่ในขั้นตอนการชอปปิง แตกต่างจากการขอสินเชื่อแบบดั้งเดิม ที่ต้องยื่นเอกสาร ตรวจสอบรายได้ และผ่านกระบวนการพิจารณาอย่างรอบคอบ
- จุดเริ่มต้นของความเปราะบาง
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร กล่าวว่า ความน่าห่วงของ BNPL เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค สินค้าหลายชนิดที่เคยเป็นของจำเป็นหรือของใช้ทั่วไป ได้พัฒนาไปสู่สินค้าที่มีราคาสูงขึ้น และผูกกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ การเข้าถึงสินค้าราคาแพงจึงไม่ได้สอดคล้องกับรายได้ที่แท้จริงของผู้บริโภคจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ไม่ประจำ
BNPL ทำให้การตัดสินใจซื้อไม่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดของเงินสดในมือ ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่ม “ชิน” กับการผ่อน แม้ในสินค้าที่ไม่จำเป็น และเมื่อพฤติกรรมนี้เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ จะกลายเป็นนิสัยในการพึ่งพาสินเชื่อเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้น เหล่านี้ คือ การบ่มเพาะความเสี่ยงในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อ BNPL ถูกใช้ควบคู่กับหนี้ประเภทอื่นที่ไม่ถูกรายงานอย่างเป็นระบบ เนื่องจากหากดู หนี้ครัวเรือนที่ปรากฏในข้อมูลทางการ มักสะท้อนหนี้ของผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ “Next Wave” ของปัญหาหนี้ ซึ่งกำลังก่อตัวในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวที่เริ่มเป็นหนี้เร็วขึ้น
ภายใต้โครงสร้างรายได้ที่ไม่แน่นอน เนื่องจากหนี้เหล่านี้จะไม่ถูกมองเห็นจนกว่าลูกหนี้จะเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินอย่างเป็นทางการ และเมื่อถึงจุดที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ หนี้ที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดจะ “ระเบิด” ออกมาพร้อมกัน กลายเป็นแรงกระแทกต่อระบบการเงิน และเศรษฐกิจโดยรวม
“คนรุ่นใหม่จำนวนมากมีแนวโน้มทำงานแบบฟรีแลนซ์ รับงานเป็นจ็อบ รายได้ไม่สม่ำเสมอ ขณะเดียวกันกลับสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล หนี้จำนวนหนึ่งที่เกิดขึ้น จึงไม่ปรากฏในระบบรายงาน เช่น หนี้ กยศ. หรือหนี้จากสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งไม่ถูกรวมอยู่ในเครดิตบูโร เมื่อข้อมูลพวกนี้ไม่ถูกมองเห็นโดยสถาบันการเงิน เมื่อเกิดปัญหาหนี้เหล่านี้ก็จะ “ระเบิด” ออกมาที่อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และต่อลูกหนี้อย่างมาก”
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ “สุรพล” ตั้งข้อสังเกต คือ ช่องโหว่เชิงกฎหมายของ BNPL ในประเทศไทย หากแพลตฟอร์มเป็นผู้ให้เครดิตเอง บริการดังกล่าวจะไม่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เนื่องจากแพลตฟอร์มไม่ถูกจัดว่าเป็นสถาบันการเงิน
- เกิดช่องโหว่การกำกับดูแล
แม้ในทางปฏิบัติ BNPL จะเป็นการให้สินเชื่อ แต่ในทางกฎหมายกลับถูกตีความว่าเป็นการขายแบบผ่อนชำระความแตกต่างระหว่างคำว่า Credit และ Lending จึงถูกใช้เป็นช่องว่างในการกำกับดูแล ทั้งที่ในหลายประเทศ แนวคิดเรื่องเครดิตครอบคลุมกว้างกว่านั้นมาก
โครงสร้างนี้ทำให้สถาบันการเงินที่พยายามเข้ามาเล่นในตลาด BNPL ต้องเผชิญข้อจำกัดด้านกฎเกณฑ์ ขณะที่แพลตฟอร์มขนาดใหญ่สามารถหลีกเลี่ยงการกำกับดูแลได้
อีกทั้ง ปัจจุบันผู้ให้บริการ ยังมีการหลีกเลี่ยงการปล่อยกู้เอง แต่เป็นลักษณะให้วงเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ขาย ผ่านไลเซนส์นาโนไฟแนนซ์เพื่อปล่อยกู้ให้กับผู้ขายในระบบ ขณะที่ฝั่งผู้ซื้อใช้สินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง
ดังนั้นแม้เงินจะหมุนเวียนอยู่ภายในระบบเดียวกัน แต่ความเสี่ยงกลับถูกผลักไปยังผู้ขาย และผู้บริโภค ขณะที่แพลตฟอร์มยังสามารถขยายธุรกิจต่อไปได้
“สิ่งที่น่ากังวล คือ เวลานี้เริ่มเห็นความเปราะบางมากขึ้น วันนี้หนี้เสียที่อยู่ใน BNPL อยู่ในระดับสูงมาก หากเทียบกับหนี้เสียในระบบการเงิน สวนทางกับต่างประเทศที่เคยทำ BNPL เช่น จีน เขามีหนี้เสียอยู่ระดับต่ำ เนื่องจากระบบ มีบทลงโทษที่ชัดเจน หากผิดนัดจะถูกตัดออกจากแพลตฟอร์มทันที แต่ในประเทศไทย ผู้บริโภคยังสามารถย้ายแพลตฟอร์มได้ ทำให้วินัยทางการเงินอ่อนแอ”
- เอื้อให้คนเริ่ม “ชิน” กับการสร้างหนี้แต่เด็ก
อย่างไรก็ตาม พบว่า BNPL ยังเปิดโอกาสให้ผู้มีอายุเพียง 18-19 ปี เข้าถึงวงเงินหลักหมื่นหรือเกือบแสนบาทต่อราย หากเทียบกับในระบบสินเชื่อที่วันนี้กำหนดขั้นต่ำของผู้ที่ได้สินเชื่อต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี และมีเงื่อนไขรายได้ที่ชัดเจน แต่ BNPL สามารถพึ่งพาผู้ปกครองในทางกฎหมายได้ ที่อาจเป็นจุดอ่อนในด้านการตรวจสอบได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ล่าสุด BNPL จะยังไม่ได้อยู่ภายใต้กำกับอย่าง ธปท. แต่ล่าสุด เริ่มมีความพยายามมากขึ้นของ “ธปท.” ในการเข้ามาดูแลความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อของ BNPL แล้ว
ด้าน นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ภารกิจอีกด้านของ ธปท. ที่ต้องให้ความสำคัญคือ การให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อสอนให้คนรู้จักใช้เงินอย่างมีวินัย ต้องรู้ว่าของบางอย่างไม่จำเป็นต้องซื้อควบคู่กับการออม
โดยปัจจุบัน ธปท.กำลังติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายออนไลน์ และรูปแบบสินเชื่อประเภท “Buy Now Pay Later” (BNPL) อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่ามีความจำเป็นต้องเข้าไปกำกับดูแลหรือไม่
- สภาพัฒน์ ห่วง BNPL เสี่ยงก่อหนี้เกินตัว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า BNPL มีความเสี่ยงกระตุ้นให้ผู้บริโภคก่อหนี้เกินตัว เนื่องจากระบบให้สินเชื่อไม่ได้เชื่อมโยงกับข้อมูลรายได้หรือภาระหนี้ทั้งหมด การพิจารณาจากพฤติกรรมการซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว ทำให้บางรายได้รับวงเงินสูงเกินศักยภาพ
ยิ่งไปกว่านั้น BNPL ยังถูกนำไปใช้ซื้อสินค้า และบริการนอกแพลตฟอร์ม เช่น ร้านอาหาร หรือสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งสะท้อนถึงระดับความเปราะบางของการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
สุดท้ายแล้วแม้ BNPL ไม่ได้เป็นผู้ร้าย อีกด้านอาจเข้ามาช่วยให้คนไทยจำนวนมาก มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ โดยเฉพาะเอื้อให้นักศึกษาที่สภาพคล่องในการดำรงชีพหรือเพิ่มโอกาสในการเรียนการสอนได้ แต่ในบริบทของเศรษฐกิจไทยที่หนี้ครัวเรือนสูงถึง 89% ของ GDP การปล่อยให้ BNPL เติบโตโดยขาดการกำกับอย่างรอบด้าน อาจทำให้ความสะดวกสบายในวันนี้ กลายเป็นภาระหนักในวันข้างหน้า
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ ควรมี BNPL หรือไม่แต่คือ จะทำอย่างไรให้ BNPL ไม่กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ของเศรษฐกิจไทย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







