เศรษฐกิจซึมยาว โตต่ำศักยภาพ กนง.เอกฉันท์ ลดดอกเบี้ย 0.25% คุมเข้มค่าบาท

กนง.มีมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.25% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน ประคองเศรษฐกิจห่วงเศรษฐกิจซึมยาวโตต่ำกว่าศักยภาพอีก 2 ปี พร้อมยกระดับดูแล “เงินบาทแข็งค่า” เอกชน ชี้ 3 ข้อดีลดดอกเบี้ย ช่วยลดต้นทุนธุรกิจ - ดันค่าบาทอ่อน รับห่วง ดอกเบี้ยต่ำจะไร้ความหมาย หากไม่มีการปล่อยเงินกู้
KEY
POINTS
- กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ และมีแนวโน้มชะลอตัวลงชัดเจน
- การลดดอกเบี้ยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบาง และผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ที่สินเชื่อหดตัวต่อเนื่อง
- ชี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยการลดดอกเบี้ยถือเป็นกลไกหนึ่งที่ส่งผลทางจิตวิทยาช่วยชะลอการแข็งค่า และ กนง. ได้ยกระดับการติดตามค่าเงินอย่างใกล้ชิด
- ส่งสัญญาณว่านโยบายการเงินพร้อมเข้ามามีบทบาทหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากนโยบายการคลังมีข้อจำกัด และไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า คณะกรรมการ กนง.เห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ภายใต้เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจน และมีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับกลุ่มเปราะบาง
รวมถึงช่วยเสริมประสิทธิผลของมาตรการทางการเงิน และนโยบายอื่นของภาครัฐ จึงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ด้วยมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.25% ต่ำสุดในรอบ 3 ปี
หากดูในภาพรวม มองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะที่ขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพอย่างชัดเจน และมีความเปราะบางจากทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างภายในประเทศ และปัจจัยภายนอกที่เข้ามาซ้ำเติม โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจเริ่มชะลอลงมากกว่าที่คาดจากปัจจัยชั่วคราวหลายด้าน ซึ่งส่งผลให้แนวโน้มการเติบโตในปีถัดๆ ไปอ่อนแรงลงตามไปด้วย
โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี เศรษฐกิจได้รับแรงกดดันจากเหตุการณ์เฉพาะหลายประการ ทั้งในภาคการผลิต และภาคพื้นที่ โดยก่อนหน้านี้มีผลกระทบจากการปิดโรงงาน และโรงงานผลิตเครื่องดื่มบางแห่ง ซึ่งส่งผลต่อภาคการผลิตโดยตรง ต่อมาเกิดเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์รุนแรง กระทบต่อทั้งชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้าง
ไม่เพียงเท่านั้นเหตุอุทกภัยดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงระยะสั้น แต่การฟื้นฟูพื้นที่คาดว่าจะทอดยาวไปถึงไตรมาส 1 ของปีถัดไป ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่อง และซ้ำเติมภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีให้ชะลอตัวลงชัดเจนยิ่งขึ้น
- เศรษฐกิจไทยปี 69-70 ต่ำกว่าศักยภาพ
หากมองไปข้างหน้า ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 และ 2570 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเมื่อเทียบกับปีปัจจุบัน โดยแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจะอ่อนแรงลงในหลายด้าน การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป การส่งออกข้างหน้าคาดว่าการส่งออกจะชะลอลงอย่างมาก
โดยคาดขยายตัวที่ประมาณการไว้เพียง 0.6% เป็นผลจากฐานที่สูงในปีปัจจุบันซึ่งคาดว่าจะขยายตัวถึง 12% รวมถึงผลของ Tariff ที่จะเริ่มทยอยซึมเข้ามากดดันความสามารถในการแข่งขัน ทำให้แรงขับเคลื่อนจากภาคส่งออกอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน
“ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ระดับ 1.5% และ 2.3% สำหรับจีดีพีปี 2569-79 ยังต่ำกว่าศักยภาพที่เคยประเมินไว้ที่ 2.7–2.8% อย่างมีนัยสำคัญ และในภาพรวม ความเสี่ยงยังไปในทิศทางต่ำลง”
สำหรับการประมาณการเศรษฐกิจรอบล่าสุด กนง.ได้ใส่สมมติฐานว่างบประมาณจะล่าช้าออกไปราว 2–3 เดือน ซึ่งจะกระทบจีดีพี ในปีหน้าโดยเฉพาะช่วงงบประมาณปี 2570 ส่วนมาตรการของพรรคการเมือง เช่น การพักหนี้หรือยกหนี้ ยังไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาในรอบนี้ เนื่องจากยังต้องรอความชัดเจนของข้อมูล
ทั้งนี้หากถามว่าเศรษฐกิจไทยขณะนี้อยู่ในภาวะวิกฤติหรือไม่ มองว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติเฉียบพลัน แต่กำลังเผชิญภาวะ “โตช้า ซึม และเปราะบาง” จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน นโยบายการเงินมีบทบาทสำคัญในการประคอง และบรรเทาภาระ แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นตอได้ หากไม่มีการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจควบคู่กันไป
นายสักกะภพ ยังยอมรับว่า ภายใต้ภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น คณะกรรมการเห็นว่านโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.25% ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงปรับลงมาติดลบที่ -0.33
ซึ่งการลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระดอกเบี้ยของสินเชื่อเดิมที่เป็นอัตราลอยตัว และช่วยต้นทุนสินเชื่อใหม่ แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการลดดอกเบี้ยให้ประโยชน์กับธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่ารายย่อย และ SME ดังนั้น ดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้
- กนง.สั่งยกระดับติดตามเงินบาทแข็งค่า
สำหรับสถานการณ์ “เงินบาท” ในช่วงหลังแข็งค่าขึ้นค่อนข้างเร็ว และมาก โดยตั้งแต่ต้นปีแข็งค่าราว 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ส่วนหนึ่งมาจากดอลลาร์อ่อนค่าจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และอีกส่วนหนึ่งจากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเฉพาะที่เพิ่มความผันผวน
นอกจากนี้ เงินบาทที่แข็งค่ายังมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ก็ถือเป็นปัจจัยเฉพาะที่เข้ามาซ้ำเติมความผันผวนของค่าเงินบาทในบางช่วงเวลา
ในมุมของ กนง.การติดตามดูแลเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะตั้งแต่จุดเริ่มต้น เป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญค่อนข้างมาก และในแถลงการณ์รอบล่าสุด ได้ยกระดับการสื่อสารเรื่องการดูแลค่าเงินบาทอย่างชัดเจนขึ้น สะท้อนว่าประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหนึ่งในตัวแปรหลักที่ กนง. นำมาพิจารณาในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน และจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ธปท. ได้เข้าไปดูแลตลาดเงินอยู่แล้ว และมีการดูแลมากกว่าปกติ
ในส่วนของการดูแลธุรกรรมที่ผิดปกติ ธปท.พบความผิดปกติในธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับทองคำ โดยเฉพาะในช่วงที่มีสัดส่วนของการซื้อขายเงินตราต่างประเทศที่เชื่อมโยงกับทองคำในระดับที่สูงกว่าปกติ
ซึ่งเป็นจุดที่ ธปท. เริ่มเข้าไปตรวจสอบอย่างใกล้ชิด และขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เกี่ยวข้องซึ่งการขอข้อมูลเพิ่มเติมดังกล่าว จะช่วยให้แนวทางในการเข้าไปดูแลมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งในแง่ขอบเขต และเครื่องมือที่เหมาะสมในการจัดการกับความผันผวนของค่าเงินบาท ซึ่งสิ่งที่เห็นชัดคือ Financial Flow ที่เกี่ยวข้องกับทองคำในบางจังหวะเวลา ซึ่งมีปริมาณสูงผิดปกติเมื่อเทียบกับธุรกรรมตามปกติ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังพยายามเข้าไปดูแลธุรกรรมอื่นๆ ควบคู่กัน โดยมีการประสานงานกับธนาคารพาณิชย์ให้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ เพื่อแยกแยะว่าธุรกรรมใดมีลักษณะผิดปกติ และส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ
- ห่วง SME สินเชื่อหด 3 ปีติด-หนี้เสียสูง
หนึ่งในประเด็นที่ กนง.มีการหารือกันมากคือ ปัญหาของ SME ซึ่งยังไม่ฟื้นตัว และถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังหลังช่วงโควิด ส่งผลให้รายได้ของ SME เติบโตต่ำลงอย่างชัดเจน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แม้ SME จะมีความต้องการสินเชื่อ แต่การเข้าถึงยังคงจำกัดเนื่องจากมี Credit Risk สูง สถาบันการเงินจึงยังระมัดระวัง ส่งผลให้สินเชื่อ SME หดตัวต่อเนื่องเกือบ 3 ปี และคุณภาพสินเชื่อ (NPL) ยังไม่เห็นสัญญาณปรับดีขึ้นอย่างชัดเจน
การฟื้นตัวที่ช้าของ SME ยังส่งผลกระทบต่อรายได้แรงงาน เนื่องจาก SME จ้างงานถึงประมาณ 2 ใน 3 ของการจ้างงานทั้งหมด ทำให้รายได้ของแรงงานในภาคการผลิตฟื้นตัวช้ากว่าภาคบริการ และกดดันกำลังซื้อในภาพรวม
ดังนั้นสิ่งที่ ธปท.กำลังร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ คือ การเพิ่มเครื่องมือ หรือกลไกสำคัญในการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อลด Credit Risk และช่วยให้ SME ที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ โดยอยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการเพิ่มเติมที่ทำได้ง่าย และมีข้อจำกัดน้อยกว่าเดิม เพื่อเสริมมาตรการที่มีอยู่แล้ว เช่น การปรับโครงสร้างหนี้
อย่างไรก็ตาม ในด้านเงินเฟ้อแม้จะอยู่ในระดับต่ำ แต่ไม่ได้หมายความว่ากำลังซื้ออยู่ในภาวะดี เนื่องจากระดับราคาค่าครองชีพได้ปรับขึ้นไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้า และยังคงอยู่ในระดับสูง หากรายได้ไม่เติบโตเร็วพอ การบริโภคก็จะถูกกดดันต่อเนื่อง
จึงเป็นเหตุให้คณะกรรมการฯ ได้ปรับลดประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปลง โดยเงินเฟ้อปีนี้คาดอยู่ที่ -0.1% ปีหน้าที่ 0.3% และกลับมาอยู่ที่ 1.0% ในปี 2570 โดยแรงฉุดหลักมาจากราคาพลังงานที่ลดลง ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวที่ 0.8% ในปีนี้ และปีหน้า
“แต่ภายใต้เงินเฟ้อที่ต่ำ ธปท.มองว่ามีโอกาสเกิดเป็นเงินฝืดค่อนข้างต่ำ ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าวอย่างชัดเจน เช่น ราคาสินค้าปรับลดลงเป็นวงกว้าง หรือพฤติกรรมรอซื้อของผู้บริโภค”
- มติเอกฉันท์สะท้อนใช้นโยบายการเงิน
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า มติที่เป็นเอกฉันท์ของ กนง.นั้น อาจเป็นการส่งสัญญาณให้กับตลาดว่าเครื่องมือทางการเงินพร้อมที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยตอบสนองต่อความกังวลของตลาดในทางเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องของค่าเงินบาทที่แข็งค่า และสินเชื่อเอสเอ็มอีที่หดตัว
เนื่องจากการยุบสภาทำให้บทบาทของนโยบายการคลังทำได้ไม่เต็มที่ การตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ กนง.ในครั้งนี้ ก็อาจชี้ให้เห็นว่าเครื่องมือทางการเงินพร้อมที่จะเข้ามาเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่อาจเติบโตช้า
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 คาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ และจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลัง หากเศรษฐกิจชะลอตัวลงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายก็อาจจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจต่อได้ โดยหากมีการพิจารณาลดดอกเบี้ยอีกครั้งคงไม่ใช่เพื่อการกระตุ้นความต้องการสินเชื่อ แต่เพื่อลดภาระของผู้ที่มีหนี้อยู่แล้วมากกว่า
“มองว่าในปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นมากถึงขนาดนั้นที่จะลดดอกเบี้ยลงไปเป็น 1% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจยังคงอยู่ในกรอบที่คาดการณ์ไว้”
- สอท.ชี้ช่วยต่อลมหายใจรายย่อย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อยที่สุดจะช่วยส่งผลดีในด้านต่างๆ ต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการ ดังนี้
1. ลดต้นทุนทางการเงินโดยตรงของผู้ประกอบการ (โดยเฉพาะ SME) ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดคือ การลดต้นทุนทางด้านการเงิน ที่ทำให้ดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้กู้ SME ต้องจ่าย ลดลงตามไปด้วย ช่วยให้ผู้กู้มีภาระเบาลง
2. ส่งผลทางจิตวิทยาให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากในช่วงเวลานั้นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึงกว่า 8.1% ในขณะที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
เช่น เวียดนาม ยังมีค่าเงินที่อ่อนค่าอยู่ที่กว่า 3-3% การลดดอกเบี้ยจึงถูกมองว่าเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัวได้ นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ยังถือว่าตรงกับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ซึ่งส่งผลต่อจิตวิทยาตลาดด้วย
3. เป็นการส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการสะท้อนว่าภาครัฐต้องการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคเอกชนคาดว่ามาตรการนี้จะส่งผลดีในระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายประการ
เช่น ปัญหาอุทกภัยใน 9 จังหวัดภาคใต้ และผลกระทบจากการปะทะกับกัมพูชา ซึ่งทำให้กิจกรรมทางธุรกิจในหลายภาคส่วน เช่น ภาคการเกษตร ภาคโรงเรียน โรงพยาบาล และนิคมอุตสาหกรรม ต้องหยุดชะงัก รวมถึงผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันปลายปี
- รับยังผวาแบงก์พาณิชย์เมินปล่อยกู้
ทั้งนี้ แม้ว่าภาคเอกชนจะคาดหวัง และมองเห็นผลดีจากการลดดอกเบี้ย แต่ก็ยังมีความกังวลว่าธนาคารพาณิชย์อาจจะยังไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับ SME ภาคเอกชนจึงเรียกร้องขอความร่วมมือจากภาคธนาคารในการช่วยปล่อยสินเชื่อ
“การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เปรียบเสมือนการให้ออกซิเจนเสริมแก่ปอดของเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแอ ช่วยให้การหมุนเวียนของกระแสเงินสดดีขึ้น และลดแรงกดดันทางด้านต้นทุน เพื่อให้ธุรกิจสามารถหายใจ และเดินหน้าต่อไปได้”
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวจะยังไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูธุรกิจ แต่กุญแจสำคัญคือ การที่สถาบันการเงินทั้งรัฐ และเอกชนจะต้องมีความกล้าหาญที่จะให้วงเงินหรือปล่อยสินเชื่อการปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการอย่างแท้จริง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







