‘นักเศรษฐศาสตร์’ ฟันธง‘กนง.’ลดดอกเบี้ย 0.25% ช่วยพยุงเศรษฐกิจ

‘นักเศรษฐศาสตร์’ ฟันธง‘กนง.’ลดดอกเบี้ย  0.25% ช่วยพยุงเศรษฐกิจ

นักเศรษฐศาสตร์ประเมินที่ประชุมกนง. 17 ธ.ค.นี้ มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.25% เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอ เงินเฟ้อต่ำ สินเชื่อติดลบ หนี้เสียเพิ่ม เงินบาทแข็งค่า ปัจจัยการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์

KEY

POINTS

  • นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%
  • เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแอจากปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะเมื่อนโยบายการคลังมีข้อจำกัดจากการยุบสภา
  • การลดดอกเบี้ยมีเป้าหมายเพื่อช่วยลดภาระหนี้และเสริมสร้างความเชื่อมั่น
  • ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อกระตุ้นสินเชื่อโดยตรง เนื่องจากภาคครัวเรือนและธุรกิจยังคงเปราะบาง
  • ชี้ดอกเบี้ยไม่ใช่ยาวิเศษที่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจได้

ประชุมคณะกรรมการนโยบายการ (กนง.) เงินวันนี้( 17ธ.ค.) ถือเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2568 และถือเป็นการประชุมครั้งที่สองของ “วิทัย รัตนากร”ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอลง ทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยต่างประเทศที่เข้ามากระทบ ยิ่งไปกว่านั้นไทยยังถูกซ้ำเติมจากปัญหาทางการเมืองจากการ “ยุบสภา”ที่ส่งผลให้เวลานี้รัฐบาลทำได้เพียงเป็นรัฐบาลรักษาการ นั่นหมายความว่า “กระสุนทางการคลัง”หลังจากนี้อาจถูกจำกัดลง

ทำให้เวลานี้ทุกฝ่ายมองว่า “ภาคการเงิน” ควรจะกลับมายืนเป็น “กองหน้า” โดยการ “ลดดอกเบี้ยนโยบาย”เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจหลังจากนี้ไม่ให้ทรุดไปมากกว่าที่ควรจะเป็น

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า กนง.น่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญปัจจัยซ้ำเติมทุกด้าน ที่เอื้อต่อการลดดอกเบี้ย

ทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอ,เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ,การเติบโตของสินเชื่อติดลบต่อเนื่อง,หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ที่เพิ่มสูงขึ้น,ค่าเงินบาทที่แข็งค่า นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยเฉพาะกิจ

เช่น ผลกระทบจากน้ำท่วม, ผลกระทบจากความขัดแย้งการสู้รบระหว่างไทยกัมพูชา, ความเสี่ยงจากการเจรจาภาษีทางการค้ากับสหรัฐ
รวมถึงความเสี่ยงด้านการคลังที่นโยบายการคลังไม่สามารถใช้กระตุ้นได้เนื่องจากอยู่ในช่วงยุบสภา เมื่อรวมทุกประเด็นแล้วจึงไม่มีเหตุผลในการคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปได้

“ในเวลานี้ ภายใต้นโยบายการคลังไม่มีช่องว่างให้ใช้ในการกระตุ้นเพิ่มเติม เพราะอยู่ในภาวะยุบสภา บทบาทในการดูแลเศรษฐกิจจึงตกอยู่กับนโยบายการเงินมากขึ้น ซึ่งเป็นภาวะที่นโยบายการเงินควรเข้ามามีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นด้วย”

  • ห่วงขาดเครื่องมือรับเสี่ยงในอนาคต 

อย่างไรก็ตามมองว่า ปัญหาสำคัญที่ กนง.กำลังประเมินอยู่คือ หากลดดอกเบี้ยในตอนนี้ จะทำให้ “กระสุนในการดำเนินนโยบาย” เหลือน้อยลง หากเกิดภาวะช็อกทางเศรษฐกิจหรือภาคการเงินขึ้นในอนาคต

การเก็บกระสุนสำรองเอาไว้ใช้ในยามวิกฤตอาจมีประโยชน์มากกว่าหรือไม่ ดังนั้นภายใต้กระสุนเหลือน้อยลง กนง.อาจต้องเริ่มคิดและประเมินหาเครื่องมืออื่นๆที่สามารถนำมาใช้เพิ่มเติมได้ เพราะไม่เช่นนั้นเราจะกลายเป็นผู้ที่ขาดเครื่องมือในการรับมือในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม แม้การลดดอกเบี้ยย่อมมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว เพราะเป็นการลดต้นทุน ทำให้คนสามารถกระตุ้นอุปสงค์ได้มากขึ้น แต่อีกด้านต้องพิจารณาเช่นกัน เพื่อไม่ให้การลดดอกเบี้ยกลายเป็น wasted bullet” หรือกระสุนที่เสียเปล่า

ทั้งนี้หากจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายมีผล และไม่เสียเปล่า สิ่งที่ตลาดต้องการเห็นมากขึ้น คือการสื่อสารของธปท. เพื่อส่งผ่านนโยบายการเงินให้มากขึ้น ทำอย่างไรให้ธนาคารพาณิชย์มีแรงจูงใจในการปล่อยกู้เพิ่มขึ้น และส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง เพราะหากมีการลดดอกเบี้ยแล้วธนาคารพาณิชย์กลับไม่ลดตามเลยซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ดังนั้นการลดดอกเบี้ยนั้นก็อาจไม่ช่วยอะไรเลยและจะกลายเป็นกระสุนที่สูญเปล่า

นอกจากนี้ ธปท.ควรใช้เครื่องมืออื่นๆนอกเหนือจากการลดดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียว ซึ่งรวมถึงการใช้เครื่องมือที่ธปท.เริ่มดำเนินการแล้ว เช่น เรื่องของการแก้ปัญหาหนี้,การมองหามาตรการด้านเครดิต การกำหนดนโยบายแบบเจาะจงเป้าหมาย และการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน (soft loan)เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อแบบเจาะจงเป้าหมาย (targeted lending)อย่างต่อเนื่อง

  • หวังส่งต่อประโยชน์ถึงมือรายย่อย 

การลดดอกเบี้ยโดยตรงบริษัทขนาดใหญ่มักจะได้รับประโยชน์อยู่แล้ว แต่คำถามสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ธนาคารอาจไม่ค่อยกล้าปล่อยสินเชื่อ ได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยด้วย

สำหรับดอกเบี้ยนโยบาย หากกนง.ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในครั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 1.25% จากอัตราเดิม 1.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในภาวะปกติ ยกเว้นช่วงที่ประเทศเจอวิกฤติ ที่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด 0.5% ช่วงวิกฤติโควิด ดังนั้นหากมีการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะทำให้อัตราดอกเบี้ยไปอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ไม่ใช่ “วิกฤติ”

หากการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เกิดขึ้นแล้ว แต่เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นในปีหน้า ก็อาจมีความจำเป็นในการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง แต่การลดดอกเบี้ยไม่ใช่ยาวิเศษ ปัญหาเศรษฐกิจที่โตช้าในปัจจุบันไม่ได้เกิดจากปัจจัยด้านอุปสงค์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากประเด็นด้านอุปทานและความสามารถในการแข่งขันด้วย การลดดอกเบี้ยเป็นเหมือนการกินยาระยะสั้นเพื่อซื้อเวลาให้ประเทศไปทำอย่างอื่น เพื่อฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ”

สำหรับการคาดการณ์ผลประชุม กนง.ครั้งนี้ มองว่าหากไม่ออกมาเอกฉันท์ ก็อาจเห็นเสียง 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดดอกเบี้ยลง

  • ‘ดอกเบี้ยไม่ใช่ยาวิเศษ’

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย หรือ CIMBT คาดการณ์ว่า ตลาดส่วนใหญ่ได้คาดการณ์การลดดอกเบี้ยไปแล้ว โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจปีหน้าที่เติบโตช้า เงินเฟ้อต่ำ ปัญหาการเมือง ปัญหาชายแดน ปัญหาน้ำท่วม รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาในการประชุมกนง.คือการสื่อสารมากกว่าตัวการลดดอกเบี้ย เพราะหากกนง.ลดดอกเบี้ยในลักษณะ Dovish Cut เพื่อเน้นไปที่การเติบโตเศรษฐกิจ อาจทำให้ตลาดตีความว่าการลดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า ซึ่งอาจกระตุ้นการเก็งกำไรและเพิ่มความผันผวนในตลาด

ในทางกลับกัน หากกนง.เลือกการลดดอกเบี้ยแบบ Hedge Cut หรือลดแต่ยังกังวล โดยสื่อสารให้ชัดเจนถึงความเสี่ยงและข้อจำกัดของนโยบายการเงิน อาจช่วยลดความผันผวนและการคาดการณ์ของตลาดได้

อย่างไรก็ตามมองว่า การลดดอกเบี้ยไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ไม่ได้ช่วยให้สินเชื่อขยายตัวหรือเร่งเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นการบรรเทาภาระของผู้มีหนี้และช่วยเสริมความเชื่อมั่น ซึ่งผลเชิงบวกจะเริ่มเห็นชัดในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า

  • ลดดอกเบี้ยช่วยพยุงเศรษฐกิจ

นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด  กล่าวว่า คาดการณ์กนง.ลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ และอีก 0.25% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2569 เพื่อเป็นการพยุงเศรษฐกิจ โดยการลดดอกเบี้ยครั้งนี้อาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นดีมานด์ของสินเชื่อในภาพรวม เนื่องจากสถานะทางการเงินของฝั่งครัวเรือนและธุรกิจรายย่อย (SME)​ ยังคงเปราะบาง

ทั้งนี้ ภายใต้สิ่งที่น่าห่วงในปัจจุบันคือ ธนาคารพาณิชย์ตระหนักถึงความกังวลจากการที่อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ (MRR) ของธนาคารพาณิชย์ปรับลดลดลงค่อนข้างช้า ซึ่งสะท้อนการส่งผ่านนโยบายการเงินที่ยังไม่ดีเท่าที่ควร

ธนาคารพาณิชย์มีความต้องการที่จะช่วยเหลือลูกค้า โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง แต่เรายังต้องพิจารณาเงื่อนไขอื่นๆประกอบด้วย ทั้งยังต้องการความช่วยเหลือจากมาตรการอื่นๆของภาครัฐ เช่น มาตรการส่งเสริมSMEไม่ว่าจะเป็นรีสกิลอัพสกิล เพื่อให้เราสามารถปล่อยสินเชื่อได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

  • ห่วงเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัญหาหนี้สูง

ทั้งนี้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยแม้จะปรับลดลงมาอยู่ที่ 85% ต่อจีดีพี แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ ส่งผลให้ภาคครัวเรือนได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย

โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง ซึ่งในอนาคตอาจลุกลามไปถึงกลุ่มผู้มีรายได้สูงด้วย
จากข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีรายได้ปานกลางค่อนสูง หรือตั้งแต่30,000บาท ไปจนถึง50,000บาท เริ่มมีความห่วงกังวลในเรื่องของภาระหนี้ที่เพิ่มมากขึ้น โดยกว่า 12% ยอมรับว่า “หนี้เป็นปัญหาหนัก” สำหรับครอบครัว ทำให้ฝั่งครัวเรือนต้องลดการใช้จ่ายเพื่อนำมาชำระหนี้และอาจยังไม่มีการก่อหนี้ผ่านการขออนุมัติสินเชื่อใหม่

ดังนั้นความต้องการสินเชื่อที่ลดลงจึงส่งผลต่อสภาพคล่องของสินเชื่อโดยตรง ดังนั้นมาตรการภาครัฐจึงมีความจำเป็น โดยเฉพาะมาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้แก่ภาคครัวเรือน มาตรการการปล่อยสินเชื่อซอฟต์โลน และการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SME โดยต้องทำควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมรายได้ภาคครัวเรือน และการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับ SME เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว