นักเศรษฐศาสตร์ชี้ยุบสภาซ้ำเติมศก. สุญญากาศทางการเมือง ฉุดเครดิตประเทศ

นักเศรษฐศาสตร์ห่วงยุบสภาฯ ลามซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ฉุดจีดีพี กระทบเชื่อมั่นนักลงทุน “เกียรตินาคินภัทร” ห่วงความไม่แน่นอนพุ่ง ฉุดการใช้จ่าย ลงทุน ทำเศรษฐกิจชะงักมากกว่าติดลบแรง “ซีไอเอ็มบีไทย” ชี้ซ้ำเติมเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้ว เสี่ยงการลงทุนใหม่ชะลอ มาตรการกระตุ้นขาดช่วงต้นปีหน้า “กสิกรไทย” ห่วงสุญญากาศการเมืองยืดเยื้อ กระทบความเชื่อมั่น เสี่ยงฉุดจีดีพีหาย คาดไตรมาสแรกหาย0.2%
KEY
POINTS
- นักเศรษฐศาสตร์ชี้ การยุบสภาสร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
- ทำให้ผู้บริโภคและนักลงทุนชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมชะงักงัน
- ภาวะสุญญากาศทางการเมืองจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า กระทบการเติบโตของจีดีพีโดยตรง
- ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
- อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ หากรัฐบาลใหม่ขาดวินัยทางการคลัง
สถานการณ์การยุบสภา กลายเป็นอีกปัจจัยที่ซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางบริบทโลกที่ยังเผชิญความขัดแย้งและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ความไม่แน่นอนทำเศรษฐกิจ “ชะงัก”
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) มองว่า ความเสี่ยงจากการยุบสภา ไม่ได้อยู่ที่แรงกระแทกทางเศรษฐกิจระยะสั้น แต่คือความไม่แน่นอนที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดภาวะชะงักงัน
เมื่อความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอการใช้จ่าย ภาคเอกชนและนักลงทุนไม่กล้าตัดสินใจลงทุนใหม่ เนื่องจากไม่เห็นทิศทางนโยบายที่ชัดเจน ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอ่อนแรง แม้จะไม่หดตัวรุนแรงทันที แต่ผลกระทบจะค่อยๆ สะสม และมีแนวโน้มไปปรากฏชัดในปีถัดไป
ความน่าห่วงในรอบนี้ไม่ได้เกิดจากการยุบสภาเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการซ้อนทับกับปัจจัยลบอื่น เช่น สงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งยิ่งทำให้ความไม่แน่นอนยืดเยื้อและประเมินผลกระทบโดยรวมได้ยากขึ้น
อีกประเด็นสำคัญคือ สถานะรัฐบาลรักษาการ ซึ่งมีข้อจำกัดในการผลักดันนโยบายและการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การใช้งบกลางในภาวะฉุกเฉิน และการเบิกจ่ายงบประมาณ ส่งผลให้ระบบราชการมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะ “เกียร์ว่าง” โครงการต่างๆ เดินหน้าช้าลง
ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือความล่าช้าของงบประมาณ หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ตามกรอบเวลางบประมาณอาจล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกระทบต่อจีดีพีโดยตรง และอาจลากยาวไปถึงงบประมาณปีถัดไป โดยสิ่งที่ทำให้รอบนี้แตกต่างจากอดีต คือการยุบสภาเกิดขึ้นพร้อมกับภาวะสงคราม ทำให้ความกังวลต่อผลกระทบโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น
เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย มองว่า หากพิจารณาเฉพาะมิติการเมือง การยุบสภาอาจไม่ได้สร้างแรงกระแทกทางเศรษฐกิจรุนแรง เพราะตลาดรับรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการเลือกตั้ง การยุบสภาเป็นเพียงการขยับจังหวะให้เร็วขึ้นเล็กน้อย
สิ่งที่น่าห่วงคือ “จังหวะเวลา” ที่การยุบสภาเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญแรงกดดันหลายด้าน
ทั้งกำลังซื้อในประเทศ ความไม่ต่อเนื่องของการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ความไม่สงบในภาคใต้ จึงอาจซ้ำเติมความเปราะบางของเศรษฐกิจ
หนึ่งในความเสี่ยงสำคัญคือการชะลอการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งมีแนวโน้มดรอดูความชัดเจนทางการเมือง
รวมถึงการชะลอการเริ่มต้นโครงการลงทุนใหม่ภาครัฐ เนื่องจากยังไม่สามารถอนุมัติได้ในช่วงรัฐบาลรักษาการ
ขณะเดียวกันความไม่ชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่ง มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย หรือมาตรการด้านการท่องเที่ยว อาจทำให้เศรษฐกิจขาดแรงพยุงในช่วงต้นปีหน้า
ทั้งนี้ มองว่าภายใต้ความไม่ชัดเจน นโยบายการเงินอาจต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพื่อชดเชยข้อจำกัดของนโยบายการคลัง โดยคาดว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินจะช่วยพยุงกำลังซื้อ ลดภาระค่าครองชีพ และดูแลเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1-2 ปีหน้า ซึ่งถือเป็นช่วงเปราะบางของเศรษฐกิจไทย
ห่วงสุญญากาศการเมือง ลามการค้า-เครดิต
บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่าการยุบสภาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางการเมืองตามวัฏจักร แต่เป็นสัญญาณที่ตอกย้ำความเปราะบางของระบบการเมืองไทยในสายตานักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ แม้ผลกระทบระยะสั้นต่อตลาดเงินและตลาดทุนอาจยังไม่รุนแรง
แต่ความเสี่ยงที่แท้จริงคือความยืดเยื้อทางการเมือง และความเป็นไปได้ที่จะเกิด “สุญญากาศทางการเมือง” หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้หลังการเลือกตั้ง
ความแตกร้าวและความซับซ้อนระหว่างพรรคการเมืองหลัก ทำให้การฟอร์มรัฐบาลมีความยาก หากไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากเด็ดขาด ความไม่แน่นอนจะยิ่งลากยาว สถานการณ์ดังกล่าว ระบบราชการมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเกียร์ว่าง
ข้าราชการไม่กล้าตัดสินใจและขับเคลื่อนงานได้เต็มที่ แม้ไม่เกิดวิกฤติในทันที แต่จะบั่นทอนประสิทธิภาพการบริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การขาดมาตรการระยะสั้นในช่วงสุญญากาศทางการเมือง อาจทำให้จีดีพีไตรมาสแรกปีหน้าลดลงราว 0.2% แม้ทั้งปีอาจไม่แตกต่างมากหากรัฐบาลใหม่สามารถเข้ามาทำงานได้ในครึ่งปีหลัง แต่หากการเมืองยืดเยื้อความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าอาจทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศชะลอตัว และนักลงทุนระยะยาวเริ่มตั้งคำถามต่อความน่าเชื่อถือ
อีกประเด็นที่น่ากังวลคือท่าทีของบริษัทจัดอันดับเครดิต หากรัฐบาลใหม่ไม่รักษาวินัยการคลัง และเบี่ยงไปใช้นโยบายประชานิยมมากขึ้น ความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตจะเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง







