‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ ผวาหนี้เสียธุรกิจถดถอย ‘อสังหา-โรงแรม-ผลิต’ ส่อเค้าผิดนัด

‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ ผวาหนี้เสียธุรกิจถดถอย ‘อสังหา-โรงแรม-ผลิต’ ส่อเค้าผิดนัด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ห่วงสัญญาณ “หนี้เสีย” เริ่มน่าห่วงมากขึ้น จากรายย่อย-เอสเอ็มอี เริ่มลามสู่ “ธุรกิจรายใหญ่” ในธุรกิจ “อสังหาฯ-โรงแรม-ภาคการผลิต” ส่อค้างหนี้ ธุรกิจถูกกดดันสูง ฉายภาพเศรษฐกิจไทยปีหน้าเปราะบางต่อเนื่อง ปัจจัยลบฉุดเพียบ

KEY

POINTS

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กังวลต่อแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ขยับสูงขึ้นใกล้ระดับ 3% สะท้อนความเปราะบางของหนี้ทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
  • ปัญหาหนี้เสียกำลังลุกลามจากSME ไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วง
  • กลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ อสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจโรงแรม การผลิต
  • คาดสินเชื่อรวมที่คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สาม เป็นปัจจัยกดดันความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจ

ภาคการเงินไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อสัญญาณ “ความเปราะบางของหนี้” ทุกภาคส่วนเริ่มเด่นชัดขึ้น ทั้งจากฝั่งครัวเรือน รายย่อย ไปจนถึงธุรกิจเอสเอ็มอีและบริษัทขนาดใหญ่

สะท้อนผ่านตัวเลขสินเชื่อที่หดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สาม และระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงเกิน 80% ของจีดีพี
แม้ความต้องการกู้ยืมจะยังมีอยู่ แต่ศักยภาพการกู้กลับถดถอยลง ทำให้ยอดสินเชื่อรายย่อย

โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและรถยนต์ ติดลบหนัก ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ทั้งระบบยังอยู่ในทิศทาง “น่ากังวล” จากจำนวนลูกหนี้ที่ค้างชำระนานขึ้นและแนวโน้มหนี้เสียที่ขยับสูงขึ้นใกล้ระดับ 3% สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า หากดูภาพรวมของสินเชื่อของระบบสถาบันการเงินในระยะข้างหน้า ยังอยู่ในทิศทาง “ชะลอตัว” ต่อเนื่อง

โดยรวมมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นภาพที่น่ากังวลอย่างยิ่ง โดยคาดเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สามติดต่อกัน จากล่าสุด ต.ค. ติดลบแล้ว 5% คาดทั้งปีนี้ สินเชื่อจะหดตัวอยู่ที่ 2.3% และคาดภาพของการหดตัวจะมีต่อเนื่องไปถึงปี 2569 ที่คาดหดตัว 3%

  • รายย่อยสินเชื่อหดตัวรุนแรง

โดยที่น่าห่วงค่อนข้างมาก คือการหดตัวของสินเชื่อรายย่อย ที่กำลังหดตัวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสินค้ามูลค่าสูง

เช่น บ้าน รถยนต์ เนื่องจากผู้บริโภคไม่มีอำนาจซื้อ ทำให้ภาพสินเชื่อรายย่อยคาดว่า จะหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยคาดการณ์หดตัวปีนี้ที่ -12% และปีหน้าหดตัวที่ -1%

แม้ว่าความต้องการสินเชื่อครัวเรือนจะยังคงสูงอยู่ แต่การที่สินเชื่อครัวเรือนหดตัวสะท้อนถึงปัจจัยทางเทคนิคคือ ความสามารถการกู้ของครัวเรือนลดลง ทำให้ครัวเรือนไม่สามารถขอสินเชื่อได้

ไม่เฉพาะสินเชื่อรายย่อยที่น่าห่วง แต่สินเชื่อภาคธุรกิจยังต่อเนื่องด้วย ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ แม้ยังคงมีความต้องการสินเชื่ออยู่บ้าง แต่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันให้เกิดการชำระคืนหนี้มากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อตัวเลขสินเชื่อติดลบและลึกลงกว่าเดิมได้

สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี เป็นกลุ่มที่มีความต้องการสินเชื่อที่ยังอยู่ใน “โซนลบ” ต่อเนื่อง และกลุ่มนี้มีความน่าห่วงอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อเอสเอ็มอียังคงติดลบสูงอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการหดตัวอยู่ที่ 4-5% จากผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการบริโภคที่ชะลอตัว

  • ห่วงหนี้เสียรายย่อย-เอสเอ็มอีลามรายใหญ่

ด้านภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และคุณภาพสินทรัพย์ ยังคงเป็นปัจจัยที่น่ากังวลต่อเนื่อง โดยแนวโน้ม NPL แม้จะไม่ได้พุ่งสูงขึ้นกะทันหันเป็น “หน้าผา” (cliff) เนื่องจากสถาบันการเงินมีการบริหารจัดการหนี้อย่างหนัก

ทั้งในเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้และโครงสร้างหนี้ในภาพรวม ส่งผลให้ตัวเลขปรับโครงสร้างหนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างชัด นับตั้งแต่มีการใช้เกณฑ์ responsible lending เมื่อต้นปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ระดับ NPLจะมีการจัดการอย่างหนัก แต่ NPL ก็ยังคงอยู่ระดับสูงขึ้นใกล้ระดับ 3% จากคาดการณ์สำหรับปีนี้จะอยู่ที่ 2.8% ถึง 2.85%

หากดูไส้ในภาพรวมหนี้เสียรายย่อย พบว่า หนี้ค้างชำระที่เพิ่งเสีย มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างหนี้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลคือหนี้ที่ค้างนานขึ้น กำลังเลื่อนระดับและไถลลงไปสู่ทิศทางที่แย่ลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาหนี้ที่ซ่อนอยู่กำลังถูกเลื่อนออกไปแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืนในบางส่วน

ไม่ต่างกับหนี้เสียภาคธุรกิจที่พบว่า ค้างชำระหนี้เกิน 90 วัน กลับมา “ปักหัวขึ้น” อีกครั้งในไตรมาส 2 และคาดว่าไตรมาส 3 อาจไม่ดีขึ้น สถานการณ์ปัจจุบันเลยจุดที่ดีที่สุดมาแล้ว ซึ่งเคยเกิดขึ้นหลังการเปิดประเทศ 1 ปีหลังโควิด

วันนี้ภาพหนี้เสียน่าห่วงอย่างมาก โดยเฉพาะภาคธุรกิจยิ่งเล็กยิ่งแย่ ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดจิ๋ว มีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 90 วันสูงที่สุด โดยมีอัตราการเป็นหนี้เสียสูงถึง 14 บาทต่อสินเชื่อ 100 บาท และแนวโน้มยังคงสูงขึ้น

ขณะที่ วันนี้ยังเห็นสัญญาณความน่าห่วงหนี้เสีย และหนี้ค้างชำระ เริ่มลามจากลูกค้ารายเล็ก แล้วขยับขึ้นไปสู่รายกลางและรายใหญ่แล้ว

กลุ่มธุรกิจที่น่ากังวล เป็นพิเศษเรื่องคุณภาพหนี้ คือ อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม (Hotel) ฟื้นตัวช้าไม่ทั่วถึง และภาคการผลิต โดย 3 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีสัญญาณเชิงลบมากขึ้น

  • “ธีมปัญหาคุณภาพสินทรัพย์นี้จะยังคงอยู่ต่อเนื่องในปีหน้า และการจัดการหนี้จะต้องใช้การจัดการเฉพาะราย โดยการจัดตั้งแต่อย่างเริ่มเสียหนี้ใหม่ๆ หนี้ที่เพิ่งเริ่มเสีย จะมีประสิทธิภาพสูงสุด”
  • ห่วงขัดแย้งไทย-กัมพูชายาวนานฉุดส่งออก0.7%

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2568 ผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมในไทยและกัมพูชาอาจมีผลต่อภาพจีดีพีไม่มากนัก แต่มีผลกระทบด้านความเชื่อมั่นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว

ทั้งยังกังวลเกี่ยวกับผลกระทบการปิดด่านชายแดนที่เกิดขึ้น การปิดด่านทำให้การขนส่งสินค้าและบริการบางอย่างติดปัญหา โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการข้ามชายแดน

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งกัมพูชา อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นโดยรวม ส่วนผลกระทบส่งออกจากความขัดแย้งไทยกัมพูชา มีมูลค่าสูงถึงเดือนละ 12,000 ล้านบาท หากเทียบกับส่งออกโดยรวมหากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปตลอดครึ่งปีข้างหน้า อาจกระทบส่งออกโดยรวมประเทศประมาณ 0.7%

โดยเฉพาะ ธุรกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนจะกระทบหนัก อัตราการเข้าพักจุดบริการชายแดนลดลง หากปัญหายังคงยืดเยื้อ ธุรกิจในพื้นที่ก็จะลำบาก

  • เศรษฐกิจปีหน้าทรุดเหลือ 1.6%

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2569 คาดเติบโตชะลอลงเหลือ 1.6% จากปี 2568 ขยายตัว 2% เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลายตัวชะลอตัวลง

โดยเฉพาะภาคส่งออกจากปีนี้คาดขยายตัว 11% แต่ปี 2569 หดตัว -1.2% เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณผลกระทบจากนโยบายภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs)

เช่นเดียวกับการบริโภคเติบโตชะลอลง ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนระดับสูง กดดันการบริโภค ทำให้ยอดขายสินค้าคงทน เช่น ยอดขายรถยนต์หดตัวติดลบต่อเนื่อง ขณะที่ภาคท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ แต่โตได้ในกรอบจำกัด ส่งผลให้แรงส่งการเติบโตลดลง

“จีดีพีปีหน้า มีทิศทางชะลอลงเหลือ 1.6% จากอุปสงค์ทั้งในและนอกอ่อนแอ โดยเฉพาะส่งออก การบริโภคครัวเรือนที่ชะลอลง ภายใต้ภาคการคลังที่มีพื้นที่จำกัดมากขึ้น”

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่า ทิศทางธุรกิจปี 2569 ยังอยู่ท่ามกลางความท้าทาย การชะลอลงของคำสั่งซื้อทั้งในและต่างประเทศ

รวมถึงการแข่งขันกับสินค้านำเข้า กดดันการผลิตต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เสี่ยงหดตัวเป็นปีที่ 4 

ส่วนธุรกิจบริการส่วนใหญ่ เติบโตชะลอลง ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบบางอย่างยังสูงและค่าแรงอาจปรับขึ้น ทำให้การสร้างรายได้สุทธิจะยากขึ้นภายใต้ศักยภาพตลาดที่โตต่ำ ธุรกิจจึงต้องเน้นเพิ่มผลิตภาพปรับตัวรับเทรนด์ และมองหาตลาดใหม่