KKP ชี้ เศรษฐกิจไทยเริ่ม ‘ติดหล่ม’ โครงสร้างกดทับ เครื่องจักรหลักแผ่ว

KKP ชี้เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากโครงสร้างอ่อนแอ เครื่องยนต์หลักที่เริ่มชะลอตัวพร้อมกัน
ล่าสุด ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เปิดบทวิเคราะห์ "KKP Research ยกธงแดงอุตสาหกรรมไทย เตือนรีบเปลี่ยนผ่านก่อนสายไป"
โดย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และ นายลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ โดยระบุว่า
หลังวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาเริ่มเติบโตช้าลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วกลับมีแนวโน้มเติบโตทรงตัวหรือลดลงเพียงเล็กน้อย ข้อมูลของ IMF ในเดือนตุลาคม 2025 ระบุว่าเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วจะเติบโตเฉลี่ยจาก 1.6% ในปี 2024 เหลือ 1.5% ในปี 2030
แต่ประเทศกำลังพัฒนาจะชะลอตัวชัดเจนจาก 4.8% เหลือ 3.8% สวนทางกับความเชื่อดั้งเดิมที่ว่าประเทศกำลังพัฒนาควรเติบโตกว่าเพราะมีฐานต่ำกว่าและมีโอกาสเพิ่มผลิตภาพมากกว่า แนวโน้มนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าประเทศกำลังพัฒนาจะไม่สามารถ “ไล่ทัน” ประเทศพัฒนาแล้วได้อีกต่อไป
คำถามสำคัญ คือ อะไรทำให้ประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะไทย เติบโตช้าลงลงเรื่อย ๆ และพลาดโอกาสในการยกระดับเศรษฐกิจแบบเดิม
- 1. เส้นทางพัฒนาเดิม: จากเกษตรสู่โรงงาน และจากโรงงานสู่บริการ
โมเดลการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอดีตแบ่งออกเป็น 3 ขั้น ได้แก่
1. สังคมเกษตร (Primary Economy) ใช้แรงงานเป็นหลัก สินค้าส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบ
2. สังคมอุตสาหกรรม (Secondary Economy) ใช้เทคโนโลยี เครื่องจักร และแรงงานจากเกษตรย้ายเข้าสู่อุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าส่งออก
3. สังคมบริการ (Tertiary Economy) หลังรายได้แรงงานสูงขึ้น การแข่งขันด้านต้นทุนลดลง ภาคอุตสาหกรรมลดบทบาท และแรงงานย้ายไปบริการมูลค่าเพิ่มสูง เช่น เทคโนโลยี การออกแบบ วิจัยและพัฒนา
ในอดีต ประเทศกำลังพัฒนาอาศัยการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเป็นเครื่องยนต์หลัก เพราะเป็นภาคที่มีผลิตภาพสูง เป็นสินค้า “ส่งออกได้” และได้ประโยชน์จากประหยัดต่อขนาด จึงเป็นเส้นทางสำคัญที่ผลักประเทศให้รายได้ต่อหัวไล่ทันประเทศพัฒนาแล้ว
- 2. ปัญหาใหญ่: ภาคอุตสาหกรรมไทยหดตัวเร็วเกินไป
แม้การลดลงของภาคอุตสาหกรรมเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการปกติ แต่ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่ง รวมถึงไทย กลับประสบปัญหานี้ “เร็วเกินไป” และเกิดขึ้นในช่วงรายได้ต่อหัวที่ยังไม่สูงพอ:
(1) อุตสาหกรรมไทยหดตัวก่อนถึงระดับรายได้เหมือนที่ประเทศพัฒนาแล้วเคยเป็น
เดิมทีไทยเติบโตเร็วในช่วงปี 1980–2000 แต่ตั้งแต่หลังปี 2010 ภาคอุตสาหกรรมเริ่มหดตัว และหลังโควิด-19 หดตัวเร็วกว่าเพื่อนบ้านอีกหลายประเทศ ที่สำคัญ เมื่อเทียบกับระดับรายได้ พบว่าไทยยิ่งหดตัวเร็วกว่าเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ซึ่งยังขยายตัวจนเป็นประเทศรายได้สูง
(2) ผลิตภาพแรงงานเติบโตช้าลง
แม้ภาคอุตสาหกรรมเคยเป็นตัวช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงาน แต่ในระยะหลังแรงงานไทยกลับมีผลิตภาพเติบโตต่ำกว่าเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะหลังโควิด-19
(3) แรงงานภาคอุตสาหกรรมของไทยมีน้อย
สัดส่วนแรงงานไทยในอุตสาหกรรมมีเพียง 15% เทียบกับระดับที่ประเทศพัฒนาแล้วเคยมีคือ 25–30% สะท้อนว่าไทยยังไม่ทันรับประโยชน์เต็มที่จากเทคโนโลยีและการถ่ายทอดความรู้ก่อนภาคอุตสาหกรรมจะเริ่มหดตัว
ผลลัพธ์คือโดยรวม เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงชัดเจนตั้งแต่หลังโควิด-19 เพราะอุตสาหกรรมมีขนาดใหญ่ในโครงสร้างเศรษฐกิจ เมื่อหดตัวจึงกดศักยภาพการเติบโตโดยรวม
- 3. โลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน ประเทศกำลังพัฒนาโตแบบเดิมไม่ได้แล้ว
แนวคิดสำคัญจาก Dani Rodrik ชี้ว่า เทคโนโลยียุคใหม่กำลังลด “ประโยชน์ของโลกาภิวัตน์” สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ทำให้โมเดล “อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก” ที่เคยผลักประเทศยากจนเข้าสู่ระดับรายได้ปานกลาง เริ่มใช้ไม่ได้อีกต่อไป
อดีต: โลกาภิวัตน์ + ห่วงโซ่อุปทานโลก = ประเทศกำลังพัฒนาฟรีคอนโด
ประเทศที่มีแรงงานราคาถูกสามารถไต่บันไดจากอุตสาหกรรมง่าย ๆ ไปสู่อุตสาหกรรมซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีจากประเทศพัฒนาแล้ว โมเดลนี้ส่งเสริมไทยชัดเจนใน
• ช่วงย้ายฐานการผลิตจากญี่ปุ่น
• หลังจีนเข้าสู่ WTO ปี 2001
• การเติบโตของ 3 อุตสาหกรรมหลัก: ปิโตรเคมี รถยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบัน: การไต่บันไดทำได้ยากกว่าเดิม เพราะ
1. เทคโนโลยีสินค้าอุตสาหกรรมสมัยใหม่ต้องการแรงงานทักษะสูงมากขึ้น
2. ห่วงโซ่อุปทานโลกซับซ้อนกว่าเดิม แข่งขันหนักกว่าเดิม
3. ผลิตภาพในประเทศพัฒนาแล้วยิ่งทิ้งห่างเพราะเทคโนโลยีใหม่ เช่น Automation, AI
4. อุตสาหกรรมใช้แรงงานทักษะต่ำลดลงไปเรื่อย ๆ
ผลลัพธ์คือ ภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถดูดซับแรงงานจำนวนมากเหมือนอดีต ส่วนประเทศพัฒนาแล้วยิ่งได้เปรียบด้านเทคโนโลยีมากกว่า ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาไล่ตามยากขึ้น
- 4. ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เร่งให้ไทยเข้าสู่ Deindustrialization
KKP Research สรุปว่าไทยถูกเร่งให้เข้าสู่กระบวนการนี้ด้วย 2 ปัจจัยสำคัญ
(1) โลกาภิวัตน์ถอยกลับ + จีนกลายเป็นคู่แข่งใหญ่
• สัดส่วนการค้าโลกเริ่มชะลอลง
• สงครามการค้าทำให้ส่งออกยากขึ้น
• จีนมี กำลังผลิตส่วนเกินมหาศาล (ผลิตมากกว่า 30% ของสินค้าโลก)
• จีนส่งออกสินค้าราคาถูกทั่วโลกเพราะระบายของส่วนเกิน
ผลลัพธ์คือ ไทย ขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีหลังโควิด
(2) เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานสะอาด
• ไทยเคยเป็นฐานผลิตรถยนต์ให้ญี่ปุ่นมานาน
• รถยนต์ไฟฟ้าจีนเข้ามาแทนที่ และไม่ต้องพึ่งการผลิตในไทย
• จีนกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก
• อุตสาหกรรมเก่าของไทย เช่น ปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์ โดนกระแสพลังงานสะอาดและการย้ายฐานการผลิตกดดันเช่นกัน
ผลกระทบสะสมทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเปราะบางอย่างมีนัยสำคัญ
- 5. ถ้าไทยไม่มีภาคอุตสาหกรรมแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สัดส่วนภาคบริการของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาคท่องเที่ยวเป็นแรงขับหลัก
• แรงส่ง GDP จากบริการ: 3.2ppt
• จากอุตสาหกรรม: 0.5ppt
• สัดส่วนบริการต่อเศรษฐกิจโตจาก 55% → 62%
• แรงงานย้ายไปท่องเที่ยวจำนวนมากหลังปี 2012
อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาท่องเที่ยว “อย่างเดียว” แทนภาคอุตสาหกรรมมีข้อจำกัดสำคัญ:
ข้อจำกัด 1: ท่องเที่ยวเป็นบริการมูลค่าเพิ่มต่ำ
รายได้ต่อหัวไม่สูงเท่าอุตสาหกรรม และขยายขนาดได้ยากเพราะเป็นบริการไม่สามารถส่งออกทางตรงได้แบบสินค้าการผลิต
ข้อจำกัด 2: ผลิตภาพภาคบริการโดยรวมต่ำ
เพราะเป็น Non-tradable ไม่ถูกบีบให้แข่งขันเหมือนสินค้าอุตสาหกรรม
ข้อจำกัด 3: ไทยขาดแรงงานทักษะสูง
บริการสมัยใหม่ เช่น IT, กฎหมาย, การเงิน ต้องการแรงงานทักษะสูงซึ่งไทยยังมีไม่มาก และไม่สามารถดึงดูดแรงงานต่างชาติที่มีความสามารถได้เท่าประเทศคู่แข่ง
ความเสี่ยงจากการพึ่งจีน
• คนไทยไปเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่าในปี 2024
• นักท่องเที่ยวจีนมาไทยกลับเหลือเพียง 40% ของก่อนโควิดในปี 2025
ทั้งหมดนี้ชี้ว่าไทยยังไม่พร้อมที่จะปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรมหายไป เพราะภาคบริการไม่สามารถรองรับเศรษฐกิจได้ในระยะยาว
- 6. ไทยควรทำอย่างไรกับภาคอุตสาหกรรม
KKP ชี้ว่า ไทยไม่ควรปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรมหายไป แต่ควร:
1. วิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมใดแข่งขันไม่ได้และอุตสาหกรรมใดยังมีศักยภาพ
2. มีนโยบายสนับสนุนการปรับตัวและนวัตกรรม
3. ตั้งเป้าดึงดูดการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น กลุ่มเทคโนโลยี
4. พัฒนาภาคบริการมูลค่าเพิ่มสูงควบคู่กันไป ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
หลายประเทศประสบความสำเร็จในการเติบโตของภาคบริการและอุตสาหกรรมคู่กัน ไทยควรเดินตามแนวทางนี้เช่นกัน
- 7. สามกลยุทธ์ที่ภาครัฐต้องเร่งทำทันที
KKP มองว่าไทยต้องคิดใหม่เรื่อง “โมเดลการเติบโต” ที่ไม่ใช่แค่การผลิตเพื่อส่งออกแบบเดิม โดยเสนอ 3 กลยุทธ์สำคัญ
ได้แก่
- กลยุทธ์ที่หนึ่ง
ทำความเข้าใจภาคอุตสาหกรรมไทยแบบเชิงลึก เพื่อหามาตรการชะลอการหดตัวและวางทิศทางพัฒนาในระยะยาว วิเคราะห์อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ รวมถึงสร้างความสามารถแข่งขันผ่านนวัตกรรม
- กลยุทธ์ที่สอง
ต้องเสริมความสามารถแข่งขันจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ และเพิ่มศักยภาพแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับบริการและอุตสาหกรรมสมัยใหม่
- กลยุทธ์ที่สาม
พัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจให้รองรับทั้งภาคบริการและอุตสาหกรรม พร้อมวางเป้าหมายดึงดูดการลงทุนตรงจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ
- บทสรุป
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ภาคอุตสาหกรรมที่เคยเป็นเครื่องยนต์หลักกำลังหดตัวเร็วกว่าที่ควร ที่มาจากทั้งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี โลกาภิวัตน์ที่ถอยกลับ คู่แข่งใหม่อย่างจีน และโครงสร้างทักษะแรงงานในประเทศเอง
ขณะเดียวกัน ภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว แม้จะขยายตัว แต่ไม่สามารถทดแทนภาคอุตสาหกรรมได้ทั้งหมด
ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องมีโมเดลการเติบโตใหม่ที่ผสมผสานทั้งอุตสาหกรรมที่ยังมีศักยภาพกับบริการมูลค่าเพิ่มสูง พร้อมสร้างระบบที่ปรับตัวทันต่อเทคโนโลยีโลก หากไทยไม่เร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจตั้งแต่ตอนนี้ ความเสี่ยงที่จะ “หยุดโต” และถดถอยจากประเทศกำลังพัฒนาไปอีกขั้น จะยิ่งมีมากขึ้นในทศวรรษต่อไป







