มาตรการ ‘พัก-คงชั้นลูกหนี้’ ทำคุณภาพสินทรัพย์ ‘นอนแบงก์’ ดีขึ้น

มาตรการ ‘พัก-คงชั้นลูกหนี้’ ทำคุณภาพสินทรัพย์ ‘นอนแบงก์’ ดีขึ้น

โบรกมอง “พักหนี้-คงชั้นลูกหนี้” เยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมใต้ ส่งผลบวกต่อ “นอนแบงก์” ทางอ้อม “บล.เอเชีย พลัส-บล.พาย” คาด “คุณภาพสินทรัพย์” โดยรวมดีขึ้น

KEY

POINTS

  • มาตรการภาครัฐในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ช่วยให้กลุ่มนอนแบงก์สามารถพักหนี้และคงชั้นลูกหนี้เอาไว้ได้ เพื่อไม่ให้ถูกจัดเป็นหนี้เสีย (NPL)
  • โบรกเกอร์มองว่ามาตรการดังกล่าวส่งผลบวกโดยตรงต่อกลุ่มนอนแบงก์ ช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมดีขึ้น เพราะสัดส่วนหนี้เสียไม่เพิ่มขึ้น
  • บริษัทนอนแบงก์ที่มีเครือข่ายสาขาในภาคใต้จำนวนมาก เช่น SAWAD และ MTC คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้มากที่สุด

มาตรการช่วยเหลือเหตุการณ์ “น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้” ของภาครัฐที่ออกมาในพื้นที่ “หาดใหญ่-สงขลา” โดยเฉพาะมาตรการทางการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ “ธนาคารพาณิชย์” (แบงก์) และ “ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์” (นอนแบงก์) ดำเนินการ “พักหนี้” ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมนั้น จะช่วยให้สถาบันการเงินทำการ “พักทั้งเงินต้น” และ “ดอกเบี้ยให้อยู่ที่ 0%” ภายในระยะเวลา 12 เดือน ทั้งนี้ กำหนดวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย รวมทั้งธปท. จะช่วยผ่อนเกณฑ์เพื่อคงคุณภาพหนี้ของลูกหนี้ไว้ไม่ให้เป็น “หนี้เสีย” (NPL) ตลอดระยะเวลาดังกล่าว

หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมผ่านพ้นไป และสถานการณ์กำลังเข้าสู่ระยะของ “การฟื้นฟู” สิ่งนี้สะท้อนผ่านกลุ่มธุรกิจที่รับประโยชน์ตรงจากมาตรการช่วยเหลือ เช่น กลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง , กลุ่มแบงก์ , ค้าปลีก เป็นต้น แต่มีอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่แม้ไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการฟื้นฟูน้ำท่วม อย่าง “ธุรกิจนอนแบงก์” แต่เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการส่งผ่านมาตรการของภาครัฐ

นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม แม้มาตรการเหล่านี้จะมีออกมาเป็นประจำทุกปี แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างไปในปีนี้

ในปีนี้ ธปท. ได้เข้ามาช่วยเหลือด้วยการอนุญาตให้สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-Bank) สามารถ "พักหนี้" ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยได้ พร้อมทั้งคงชั้นลูกหนี้ให้อยู่เท่าเดิม หรือ ไม่ให้ถูกจัดชั้นเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจนอนแบงก์อย่างชัดเจน

การคงคุณภาพสินเชื่อไว้ถือเป็นสัญญาณใน “เชิงบวก” ที่ธุรกิจนอนแบงก์จะได้รับประโยชน์ เพราะเมื่อลูกหนี้ไม่กลายเป็น “หนี้เสีย” ก็จะช่วยทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มนอนแบงก์โดยรวมดีขึ้นได้ ซึ่งถือเป็นการยื่นข้อแลกเปลี่ยนให้กับนอนแบงก์ในการลงไปช่วยเหลือเยียวยาประชาชน

นายภาสกร กล่าวว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจนอนแบงก์ปีนี้ กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อยังถือว่าพอไปได้ เพราะที่ผ่านมาก็มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ราว 10% ทุกปี และมีอุปสงค์เฉพาะกลุ่มที่เข้ามาในระดับที่ชัดเจน แม้จะยังไม่สามารถพูดได้ว่าจะเติบโตอย่างร้อนแรงเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังคงฉุดรั้ง

“เรายังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจนอนแบงก์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากปริมาณสินเชื่อของนอนแบงก์มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้เร็วกว่าธนาคารพาณิชย์เล็กน้อย เพราะมีการคิด ‘อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า’ ตามความเสี่ยงที่รับไว้”

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด ยอมรับว่า สถานการณ์อุทกภัยครั้งล่าสุดในพื้นที่ภาคใต้มีความรุนแรงเป็นพิเศษ และอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจนอนแบงก์ที่เกี่ยวข้องกับการเช่าซื้อยานพาหนะและจำนำทะเบียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยปกติประเทศไทยมักประสบอุทกภัยเป็นประจำทุกปี แต่ความเสียหายรุนแรงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายแก่ยานพาหนะของประชาชนโดยตรง ซึ่งหากไม่มีมาตรการช่วยเหลือ ธุรกิจนอนแบงก์ในกลุ่มดังกล่าวจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน โดยอาจถึงขั้นต้องลดวงเงินสินเชื่อหรือยึดหนี้สิน

ดังนั้น เพื่อเป็นการพยุงและลดผลกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มนอนแบงก์ทางธปท. ได้มีการ "อัดฉีดเงิน" เพื่อช่วยเหลือธุรกิจเหล่านี้ พร้อมทั้งมีมาตรการสำคัญคือการ "คงคุณภาพหนี้" ไม่ให้ถูกจัดเป็นหนี้เสีย (NPL)

ทั้งนี้ การดำเนินการของ ธปท. อาจมองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกับการที่กลุ่มนอนแบงก์จะเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ที่เดือดร้อนผ่านมาตรการต่าง ๆ

“ผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้อาจทำให้ “คุณภาพสินเชื่ออ่อนแอลง” ไปบ้าง จากกำลังซื้อของประชาชนในพื้นที่ที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ความต้องการสินเชื่อของกลุ่มนอนแบงก์ยังคงมีอยู่ แต่ผู้ประกอบการต้องใช้ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อควบคุมไม่ให้เกิดหนี้เสียที่มากจนเกินไป”

ทั้งนี้ คาดว่าการชะลอตัวของสินเชื่อจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 เป็นหลัก และจะเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงไตรมาส 1 ปี 2569

นอกจากนี้ บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์เช่นกันว่า มาตรการฟื้นฟูน้ำท่วมของภาครัฐ จะส่งผลดีต่อกลุ่มนอนแบงก์ในแง่ของการบริหารจัดการคุณภาพหนี้ โดยบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD และ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC อาจเป็นสองบริษัทที่ได้ประโยชน์มากที่สุดในกลุ่มนี้ เพราะมีเครือข่ายในภาคใต้คิดเป็นเกือบ 30% ของเครือข่ายสาขาทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ทั้งมาตรการควบคุมหนี้เสีย มาตรการรัฐให้ความช่วยเหลือพื้นที่น้ำท่วม และการเบิกจ่ายงบภาครัฐในช่วงก่อนเลือกตั้งในปีหน้า จะส่งผลดีต่อกลุ่มนอนแบงก์โดยเฉพาะในการ “เก็งกำไรระยะสั้น” แต่ในระยะกลางยังคงต้องมีความระมัดระวัง เพราะการขยายสินเชื่อที่มากขึ้นอาจหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

การขยายสินเชื่อจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จำกัดไม่ให้ต้นทุนความเสี่ยงของสินเชื่อ (credit cost) ลดลง และจะนำไปสู่การต้องตั้งสำรองหนี้สูญที่มากขึ้น ในภาพรวมเศรษฐกิจในเวลานี้มีการชะลอตัว รวมทั้งหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่สูง ด้วยเหตุนี้การขยายสินเชื่อมากก็จะส่งผลต่อคุณภาพสินทรัพย์ไปพร้อมกัน