‘แบงก์’ เร่งทำแผนรับวิกฤตใหม่ ยก ‘น้ำท่วมภัยพิบัติ’ เป็นความเสี่ยงต่อ ‘ระบบธนาคาร’ ปีหน้า

‘แบงก์’ เร่งทำแผนรับวิกฤตใหม่ ยก ‘น้ำท่วมภัยพิบัติ’ เป็นความเสี่ยงต่อ ‘ระบบธนาคาร’ ปีหน้า

“กรุงไทย” ชี้ความเสี่ยงภัยพิบัติ “น้ำท่วม” ยกเป็นความเสี่ยงใหม่ต่อ “ระบบธนาคาร” หลังภาพใหญ่กระทบเศรษฐกิจ ประชาชน สอดคล้อง ธปท. สั่งแบงก์ประเมินผลกระทบจากปัญหา การเปลี่ยนแปลงภูมิอาการ-น้ำท่วม ในแผนรับมือวิกฤติแบงก์ เพื่อรองรับความเสี่ยงในการดูแลลูกค้าทุกกลุ่ม ชี้เศรษฐกิจปีหน้าเหนื่อย ความเสี่ยงความท้าทายพุ่ง

ภาคการเงินไทย” กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ความเสี่ยงจาก “ภัยพิบัติ” ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์เฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “ความปกติรูปแบบใหม่” หรือ new norm ที่ทุกสถาบัน ทุกองค์กรต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ น้ำท่วมภาคใต้ เช่น หาดใหญ่-สงขลา ที่สร้างเกิดความเสียหายทั้งต่อประชาชน ระบบการค้า และโครงสร้างพื้นฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

เช่นเดียวกัน “ธนาคารพาณิชย์” หลายแห่งได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งสาขา พนักงาน และลูกค้าในพื้นที่ ดังนั้น ภาพภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำรอยบ่อยครั้งกำลังสะท้อน “ความรุนแรง” ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี นั่นหมายความว่า มาตรฐานการประเมินความเสี่ยงเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป 

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า เหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ครั้งนี้ ยังอยู่ในระหว่างการประเมินผลกระทบอย่างละเอียด ทั้งในด้านความเสียหายต่อชีวิตความเป็นอยู่ทรัพย์สินและระบบธุรกิจของลูกค้าในหลายพื้นที่

โดยเฉพาะในหาดใหญ่ที่บางจุดระดับน้ำสูงถึง 4 เมตร ขณะที่บางโซนแม้ไม่ได้ถูกน้ำท่วมโดยตรง แต่ได้รับผลกระทบด้านกิจกรรมการค้า จึงต้องใช้เวลาในการประเมินผลกระทบเชิงลึกเพื่อสะท้อนความเสียหายจริง

ในมิติของระบบธนาคารพาณิชย์ผลกระทบค่อนข้างชัดเจน สาขาทุกแห่งในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วม ที่กระทบต่อทั้งอาคาร ระบบอุปกรณ์ และความสามารถในการให้บริการลูกค้า

ดังนั้น ในด้านมาตรการช่วยเหลือ ขณะนี้ทุกสถาบันการเงินกำลังเร่งออกมาตรการเพิ่มเติม รวมถึงมาตรการพักชำระหนี้ต่างๆ ที่เป็นประเด็นที่กำลังหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่อเนื่องโดยต้องอยู่ภายใต้กรอบที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้วางโครงสร้างไว้ และต้องดำเนินงานภายใต้กติกาของผู้กำกับดูแลอย่างเคร่งครัด

“มาตรการช่วยเหลือจากน้ำท่วมไม่ได้ทำให้ตัวเลขหนี้เสียลดลง เพราะเป็นเพียงมาตรการบรรเทา ไม่ใช่มาตรการปรับโครงสร้างหนี้หรือแก้ไขภาวะค้างชำระโดยตรง และคงไม่สามารถใช้ตัวเลขต่างๆประเมินได้ ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นมาแล้ว เพราะตัวเลขก็คือตัวเลข แต่สิ่งที่แบงก์ทำคือการเร่งช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน”

ทั้งนี้ สำหรับความรุนแรงของภัยพิบัติจาก Climate Change และผลกระทบจากน้ำท่วมมองว่าเป็น New Norm หรือปรากฏการณ์ปกติใหม่ที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้น ทำให้ทั้งประเทศจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานใหม่ในการประเมินความเสี่ยงประจำปี ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และระบบธนาคาร

โดยเฉพาะระบบธนาคารพาณิชย์ ที่วันนี้ ธปท.ได้กำหนดให้ต้องทำ Stress Test เกี่ยวกับภัยพิบัติต่างๆ ที่เกี่ยวกับ Climate Change ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงจากน้ำท่วมด้วย เพื่อให้ธนาคารสามารถประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละพื้นที่ ไม่ใช่การประเมินแบบเชิงกว้างเหมือนในอดีต

สำหรับการประเมินความเสี่ยงในระยะข้างหน้า มองว่าปีหน้าเป็นปีที่ “เหนื่อย” และจะเผชิญความท้าทายค่อนข้างมาก บนการรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน ศูนย์วิจัยต่าง ๆ และข้อมูลจริงของผู้ประกอบการโดยคาดการณ์ตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจหรือจีดีพีอยู่ที่ค่ากลางราว 1.5–1.8% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพของเศรษฐกิจไทยมาก

ทั้งนี้ การประเมินจีดีพีเดิม ยังไม่ได้รวมผลกระทบจากน้ำท่วมหาดใหญ่ ซึ่งจากที่ธปท.คาดการณ์คาดว่าผลกระทบจากอุทกภัยครั้งนี้ได้เพิ่มแรงกดดันต่อจีดีพีราว 0.1-0.2% แม้ตัวเลขดังกล่าวไม่เปลี่ยนสมการภาพรวมมากนัก แต่สะท้อนว่าความท้าทายมีเพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 2%

ดังนั้น ภายใต้ความเสี่ยงความท้าทายมากขึ้น มองว่าสิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งแก้ไขโครงสร้างเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านสวัสดิการ ความสามารถในการแข่งขัน การระดมทรัพยากรเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบางมีมากน้อยเพียงใด เหล่านี้เป็นโจทย์ที่ต้องเร่งทำและเร่งหาคำตอบ

“ปีหน้าธุรกิจแบงก์ ยังคงให้ความช่วยเหลือลูกค้า และดูแลคุณภาพสินทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งเน้นตามพลวัตของเศรษฐกิจที่เราคงไม่สวนกระแสน้ำ แม้ทุกคนอยากได้ตัวเลขการเติบโต แต่ต้องดูองค์ประกอบด้วย เช่น สภาพคล่องในระบบ ระดับหนี้สาธารณะอยู่ระดับน่ากังวล”