จับกระแส Selloff ตลาดหุ้นโลกร่วงแรง 'ช้อนซื้อ' หรือ 'หนีตาย' ในจังหวะนี้

ตลาดหุ้นทั่วโลกเจอแรงเทขายหนัก S&P 500 และ Nasdaq หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันครั้งแรกในรอบกว่า 4 เดือน ทุกฝ่ายจับจ้องไปที่ Nvidia เตรียมรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 วันพุธนี้
กระแสการเทขาย (Selloff) ที่กวาดราคาสินทรัพย์ลงเกือบทุกประเภทตั้งแต่หุ้นเทคโนโลยี คริปโทเคอร์เรนซี ไปจนถึงทองคำ ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อวันจันทร์ในตลาดสหรัฐ และวันอังคารนี้ในเอเชีย ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq หลุดเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันครั้งแรกในรอบ 138 วัน ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงสามวันติด หนักที่สุดนับตั้งแต่ช่วงภาษีป่วนตลาดในเดือนเม.ย. เป็นต้นมา
นับตั้งแต่ความสับสนเรื่องภาษีศุลกากรเริ่มคลี่คลายในเดือนพ.ค. ดัชนียังไม่เคยหลุดเส้นดังกล่าวเลย ซึ่งนักวิเคราะห์เทคนิคมักใช้จุดยืนเหนือหรือต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางในอนาคต
ตลาดหุ้นสหรัฐถูกแรงเทขายกดดันต่อเนื่องในวันจันทร์ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นักลงทุนเร่งเทขายสินทรัพย์ก่อนถึงบททดสอบสำคัญว่า กระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผลักดันตลาดหุ้นสหรัฐให้ทำนิวไฮต่อเนื่องในปี 2025 จะเดินหน้าต่อสู่ปีใหม่ได้หรือไม่ และทำให้นักลงทุนเผชิญคำถามเดิมๆ ว่าควรใช้จังหวะนี้ “เก็บของถูก” หรือ “หนีตาย" ก่อนจะแย่ไปกว่านี้
ความคาดหวังอยู่ที่ "Nvidia" ซึ่งจะประกาศผลประกอบการวันพุธที่ 19 พ.ย.68 นี้หลังปิดตลาดตามเวลาท้องถิ่น เพื่อสะท้อนดีมานด์ชิปเซตทั่วโลก
หวั่นเฟดไม่ลดดอกเบี้ย-AI ยังไม่ทำเงิน
นักวิเคราะห์มองว่า แรงขายรอบนี้เกิดจาก 2 ปัจจัยสำคัญคือ ความสงสัยต่อ "กำไรในอนาคตของ AI" ซึ่งเป็นหัวใจของตลาดกระทิงรอบปัจจุบัน และความเป็นไปได้ว่า "ธนาคารกลางสหรัฐ" (เฟด) อาจชะลอการลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบสุดท้ายของปีเดือนธ.ค. หลังเงินเฟ้อยังไม่ลงมาง่ายๆ และข้อมูลเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจนมากพอจากผลกระทบของชัตดาวน์ที่ผ่านมา
สตีฟ ซอสนิค จากบริษัท Interactive Brokers กล่าวว่า ตลาดกำลัง “มองสถานการณ์แบบมีสติขึ้น” หลังเดินหน้าทำกำไรต่อเนื่องเกือบทั้งปี “บางทีเราอาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไปก็ได้”
กระแสเทขายยังสอดคล้องกับความกังวลต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ที่พึ่ง AI อย่างหนัก ซึ่งรวมกันแล้วกินสัดส่วนอย่างมากในดัชนี S&P 500 โดยหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า “Magnificent Seven” ทั้ง Alphabet, Amazon, Apple, Meta, Microsoft, Tesla และ Nvidia ต่างเผชิญแรงกดดันคล้ายกันในช่วงไม่กี่วันมานี้
เอ็ด ยาร์เดนี ผู้ก่อตั้ง Yardeni Research อธิบายว่า บิ๊กเทคกำลังอัดเงินหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่ใช้พลังงานสูง แต่รายได้จาก AI ยังไม่แน่นอน นักลงทุนจึงเริ่มตั้งคำถามว่า “ใช้เงินขนาดนี้ รายได้จะขึ้นทันหรือไม่”
คาดลดดอกเบี้ยน้อยลง ทำตลาดผันผวน
อีกแรงกดดันคือ ความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตลาดเคยคาดหวังมากกว่านี้ แต่ปัจจุบันนักลงทุนประเมินโอกาสลดดอกเบี้ยเพียง 41% ซึ่งต่ำลงมากจากช่วงสองสัปดาห์ก่อน
ปัจจัยกดดันคือ อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. ที่ขยายตัวขึ้น 3% สูงกว่าเป้าหมายของเฟด ทำให้ผู้กำหนดนโยบายหลายรายเริ่มส่งสัญญาณ “ระมัดระวัง” ต่อการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม
เบรต เคนเวลล์ จากบริษัท eToro กล่าวว่า ความไม่ชัดเจนเรื่องดอกเบี้ยรวมถึงความเสี่ยงที่ศาลฎีกาอาจมีคำตัดสินกระทบโครงสร้างมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ล้วนเพิ่มความผันผวนให้ตลาดในเดือนพ.ย.
กูรูเชื่อเป็นแค่จังหวะพัก ไม่ใช่ปรับฐานใหญ่
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งยังเชื่อว่าการเทขายรอบนี้เป็นเพียงจังหวะพัก ไม่ใช่การกลับทิศรอบใหญ่ แม้ตลาดจะแกว่งตัวแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังมองว่าเป็นเพียง “อาการสะดุด” มากกว่าจะเป็นการปรับฐานใหญ่ของตลาดขาขึ้น
อีวาน ไฟน์เสธ จาก Tigress Financial คาดว่า S&P 500 จะปิดสิ้นปีนี้ที่ระดับราว 7,000 จุด จากปัจจุบันใกล้ 6,700 จุด โดยมองแรงหนุนจากการใช้ AI ที่เพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไปได้ดี แม้การจ้างงานจะชะลอลงบ้าง แต่เศรษฐกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง
“บางครั้งตลาดก็วิ่งนำไปไกลจนคนเริ่มตื่นตระหนก” ไฟน์เสธ กล่าว “แต่ผมยังคิดว่าโมเมนตัมระยะยาวยังเป็นบวก”
เฮดจ์ฟันด์ Peter Thiel เทขายหุ้น Nvidia เกลี้ยงพอร์ต
ไม่ได้มีแต่ SoftBank เท่านั้นที่เทขายหุ้นเทคเบอร์หนึ่งอย่าง Nvidia เกลี้ยงพอร์ต ล่าสุดกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของ "ปีเตอร์ ธีล" (Peter Thiel) มหาเศรษฐีสายเทค เป็นรายใหญ่อีกรายที่ได้ขายหุ้น Nvidia ออกทั้งหมดในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งยิ่งจุดกระแสความกังวลว่าความร้อนแรงของตลาด AI อาจเริ่มถึงจุดเสี่ยงฟองสบู่
เอกสารที่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแลเมื่อวันศุกร์ระบุว่า กองทุน Thiel Macro ขายหุ้น Nvidia จำนวนประมาณ 537,742 หุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 100 ล้านดอลลาร์ ตามราคาปิด ณ วันที่ 30 ก.ย.68
นักลงทุน และนักวิเคราะห์จับตาการประกาศงบไตรมาส 3 ของ Nvidia ในวันพุธนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าบริษัทซึ่งเป็นเหมือนตัวชี้วัดอุปสงค์ AI ทั่วโลก จะช่วยคลายความกังวลเรื่องฟองสบู่ได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อชิปของ Nvidia ถูกใช้ในดาต้าเซนเตอร์ และเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ทั่วโลก
ทั้งนี้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งลดสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่ม 7 นางฟ้า หรือ “Magnificent Seven” ซึ่งสวนทางกับไตรมาสก่อนที่กองทุนจำนวนมากยังคงเพิ่มน้ำหนักลงทุนในบิ๊กเทค ส่วนกองทุน Thiel Macro ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนหลักเหลือเพียง Apple, Microsoft และ Tesla ที่ลดสัดส่วนลงมา
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







