ซิ่งต่อ! 'MotoGP' กับสัญญาใหม่อีก 5 ปี ข่าวดีหรือข่าวร้ายของประเทศไทย?

ซิ่งต่อ! 'MotoGP' กับสัญญาใหม่อีก 5 ปี ข่าวดีหรือข่าวร้ายของประเทศไทย?

หลังต้องลุ้นกันหลายเดือน ในที่สุดแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยก็ได้ข่าวดีเมื่อมีการยืนยันว่าประเทศไทย บรรลุข้อตกลงในการเป็นเจ้าภาพรายการจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ “โมโตจีพี" (MotoGP) ต่อไปอีก 5 ปี

KEY

POINTS

Key points

  • มีการอนุมัติงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวน 4,000 ล้านบาท สำหรับการต่อสัญญาเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโมโตจีพี ออกไปอีก 5 ปี (2027-2032)
  • 3 นาที 21 วินาที คือ ระยะเวลาที่บัตรเข้าชมการแข่งขัน “ไทยจีพี 2026” บนอัฒจันทร์ใหญ่ “Grandstand” ถูกจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว
  • ข้อสังเกตที่สำคัญอีกประการคือ การเร่งรัดปิดดีลกับโมโตจีพีนั้นเป็นการทำเพื่อใช้สัญญาฉบับนี้เป็น “ตัวประกัน” หรือไม่ ในเรื่องข้อพิพาทการบุกรุกพื้นที่สร้างสนามแข่งขันที่เขากระโดง
  • ตามข้อมูลแล้วตลอด 6 ปีที่ผ่านมา การแข่งขันโมโตจีพี ที่บุรีรัมย์ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้กว่า 24,927 ล้านบาท ดึงดูดผู้ชมเฉลี่ยกว่า 206,000 คนต่อปี สร้างรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจท้องถิ่น แต่ภาคเอกชนกลับมีแนวโน้มจะถอยจากการแข่งขัน

โดยสัญญาฉบับใหม่มีระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2570-2574 (ค.ศ.2027-2032) และสำหรับการแข่งขันในปีหน้าไทยยังได้รับเกียรติเป็นสนามเปิดการแข่งขันฤดูกาลใหม่ 2026 ซึ่งถือเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันด้วย ในระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2569

ข่าวนี้อย่างที่บอกว่าสำหรับแฟนกีฬาชาวไทยถือเป็นข่าวดีที่จะได้ชมการแข่งขันสุดยอดมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันติดต่อกัน 7 ปี ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดทุกปี

แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ในแบบที่ “ไทยจีพี” (ThaiGP) ไม่เคยถูกตั้งคำถามหนักขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน ไปจนถึงความคุ้มค่าในการลงทุนที่รัฐบาลต้องใช้งบประมาณสนับสนุนเป็นจำนวนเงินมากถึง 4,000 ล้านบาทสำหรับการนี้ 

ตกลงแล้วนี่ถือเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายสำหรับประเทศไทย?

 

จากเสียงตัดพ้อถึงสัญญาฉบับที่ 3

ย้อนกลับไปในปีที่แล้วประเทศไทยตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับสุดยอดของโลกพร้อมกัน 2 รายการ

หนึ่งคือการแข่งขันโมโตจีพี ที่ประเทศไทยได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 และอีกหนึ่งคือการแข่งขันรถแข่งสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก หรือ “ฟอร์มูลาวัน” (Formula 1) ที่มีความพยายามที่จะนำมาจัดการแข่งขันในไทยให้ได้ ภายใต้การผลักดันของรัฐบาลเพื่อไทยในเวลานั้น


ในช่วงเวลาดังกล่าวมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลอาจจะเลือกสนับสนุนได้เพียงรายการเดียว ซึ่งแนวโน้มจะไปทางรถแข่งเอฟวันมากกว่า ทำให้มีการพูดตัดพ้อจากทางฝ่ายนายเนวิน ชิดชอบ ผู้อยู่เบื้องหลังการพยายามผลักดันให้โมโตจีพีได้มาแข่งที่จังหวัดบุรีรัมย์ กลายเป็นกระแสพอสมควรว่าการแข่งขัน “ไทย กรังด์ปรีซ์” ในปีหน้า (2026) อาจจะเป็นปีสุดท้ายแล้ว

“รัฐบาลลงทุนปีละไม่เกิน 500 ล้านบาท เอกชนร่วมด้วยไม่น้อยกว่าปีละ 300 ล้านบาท แต่สร้างเงินหมุนเวียน ส่งเสริมธุรกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจ กว่า 5,000 ล้านบาท” เนวินโพสต์ผ่านบัญชีส่วนตัวบนโซเชียลมีเดีย

อย่างไรก็ดีในขณะที่การเสนอตัวจัดการแข่งขันเอฟวันยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนต่อเนื่อง โมโตจีพีกลับมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางการเมืองเป็นรัฐบาลชั่วคราวของพรรคภูมิใจไทย ที่มีการเดินหน้าอย่างรวดเร็วในการเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับทางดอร์นาสปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขัน

สุดท้ายนำไปสู่การอนุมัติงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวน 4,000 ล้านบาท สำหรับการต่อสัญญาเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโมโตจีพี ออกไปอีก 5 ปี

ซึ่งถือเป็นสัญญาฉบับที่ 3 แล้ว ก่อนจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการยืนยันการเป็นเจ้าภาพต่อของไทย

“การได้เป็นเจ้าภาพต่อเนื่องถึง 7 ปีคือ ความสำเร็จจากการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน เมืองไทยพิสูจน์แล้วว่า เรามีเอกลักษณ์, ความอบอุ่น และการจัดงานที่สร้างภาพจำระดับโลก” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าว

 

คนไทยยังรักโมโตจีพี

3 นาที 21 วินาที คือ ระยะเวลาที่บัตรเข้าชมการแข่งขัน “ไทยจีพี 2026” บนอัฒจันทร์ใหญ่ “Grandstand” มูลค่า 5,000 บาท ซึ่งถือเป็นที่นั่งที่ดีที่สุดในสนามเห็นครบทุกโค้งทั่วสนาม ใน 3 วันของการแข่งขันจนถึงรอบการแข่งหลัก (Main race) ถูกจำหน่ายหมดอย่างรวดเร็ว

โดยนอกจากนี้ยังมีบัตรอีกหลายประเภท ตั้งแต่ราคา 2,000 บาทในอัฒจันทร์ประเภท Sidestand ไปจนถึง VIP Lounge ราคา 20,000 บาทที่ได้เห็นทุกจังหวะการแซงในโค้งตัดสินพร้อมอาหารและเครื่องดื่มไม่อั้น และ Paddock Pass ราคา 15,000 บาท ที่จะเข้าถึงโซนนักแข่งระดับโลกแบบสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

ไม่นับสินค้า Merchandise ต่างๆ ที่ผลิตออกมาเป็นที่ระลึกซึ่งต้องมีการพรีออร์เดอร์กันเลยทีเดียว เพราะเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่แฟนๆ

สิ่งนี้เป็นเครื่องสะท้อนถึงความคลั่งไคล้ในการแข่งรถโมโตจีพีของแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยได้เป็นอย่างดีว่าเวลานี้การแข่งสองล้อทางเรียบ และนักแข่งระดับโลกมีความสำคัญ และได้รับความนิยมมากขนาดไหน

โดยมีการประเมินว่าการแข่งขันที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 จะมีจำนวนผู้ชมรวมกันไม่แพ้ปีก่อนๆ อยู่ที่ราว 300,000 คน

 

ฮับมอเตอร์สปอร์ตแห่งอาเซียน

อีกหนึ่งเป้าหมายของรัฐบาลที่มีการประกาศไว้คือ การเดินหน้าสู่การเป็น “ฮับมอเตอร์สปอร์ตแห่งอาเซียน” 

“รัฐบาลมีเจตนาชัดเจนในการ ‘เดินหน้าต่อ’ เพราะ ThaiGP เป็นทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างยั่งยืน” ผู้ว่า กกท. กล่าว 

“ไม่เพียงในมิติของกีฬาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระดับโลกการจัดการแข่งขันโมโตจีพีในประเทศไทย”

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องที่ รัฐบาลมอบหมายให้ กกท. ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น "ฮับของมอเตอร์สปอร์ตในภูมิภาค" ผ่านการสนับสนุนการแข่งขัน การพัฒนานักแข่งเยาวชน และการใช้ Soft Power สื่อสารภาพลักษณ์ และอัตลักษณ์ของประเทศไปทั่วโลกอีกด้วย

ในประเด็นนี้ไม่ได้มีการอธิบายในรายละเอียดเอาไว้ แต่แกะจากถ้อยคำแล้วในประเด็นการพัฒนานักแข่งเยาวชนนั้น ปัจจุบันมีนักแข่งกีฬามอเตอร์สปอร์ตดาวรุ่งชาวไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นนักแข่งจักรยานยนต์ทางเรียบ ไปจนถึงรถโกคาร์ท และรถแข่งในระดับฟอร์มูลาทรี ที่มีโอกาสจะฝันถึงการไปสู่ฟอร์มูลาวัน

คำถามคือ ภาครัฐจะให้การสนับสนุน และช่วยเหลืออย่างไร? เช่นกันกับในเรื่องของคำว่า “Soft Power” สื่อสารภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไปทั่วโลกผ่านกีฬามอเตอร์สปอร์ตนั้นมองภาพเอาไว้อย่างไร? 

อย่างไรก็ดีลำพังการได้สิทธิจัดการแข่งขันโมโตจีพี รวมถึงความหวังจะได้สิทธิในการจัดแข่งรถเอฟวัน ก็เป็น “พลัง” มหาศาลที่จะทำให้ไทยมีภาพลักษณ์ของชาติที่เอาจริงเอาจังกับกีฬามอเตอร์สปอร์ตได้แล้ว

หัวใจสำคัญมากกว่าคือ จะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การเป็นมหรสพใหญ่ แต่หมายถึงการสร้างคน สร้างนักกีฬา สร้างงาน สร้างรายได้ และใช้พลังตรงนี้ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

ให้สมกับคอนเซปต์ “More Than a Race” ของการแข่งขันในปีหน้า

 

โมโตจีพีเพื่อใคร?

ถึงอย่างนั้น โมโตจีพี ก็เริ่มถูกตั้งคำถามเช่นกันถึงความเหมาะสมโดยเฉพาะการที่ภาครัฐเข้ามา “อุ้ม” 

โดยคำถามใหญ่มาจากฝั่ง พรรคเพื่อไทย นายศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคได้ตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการที่รัฐบาล ซึ่งจะมีอายุเพียงแค่ 4 เดือน กลับอนุมัติวงเงินงบประมาณถึง 4,000 ล้านบาท ในการสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพี

จริงอยู่ที่การจัดการแข่งขันระดับโลกเป็นเรื่องที่ส่งผลดีในหลายด้าน โดยเฉพาะการเพิ่มรายได้ภาคการท่องเที่ยว แต่สิ่งที่สำคัญคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นเหมาะสมหรือไม่ เพราะงบประมาณจำนวนดังกล่าวมาจากภาษีของประชาชน

ข้อสังเกตคือ แม้จะประสบความสำเร็จสูงในเชิงของภาพลักษณ์ และความนิยม แต่จำนวนภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมสนับสนุนลดลงเรื่อยๆ เช่นกันกับจำนวนผู้ชมที่ลดลง และมีการคาดการณ์ว่าอาจจะลดลงไปอีก มันสะท้อนถึงความจริงอีกด้านที่ไม่มีการพูดกันหรือเปล่า

โดยจำนวนผู้ชมที่ประเมินไว้มีแต่จะลดลง ขณะที่ตัวเลขผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่เคยสูงสุด 5,000 ล้านบาท แต่ประมาณการไปข้างหน้าลดลงเหลือแค่ 4,000 ล้านบาท นี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ภาคเอกชนตัดสินใจทยอยกันถอยออกจากการสนับสนุน

สิ่งที่เพิ่มขึ้นชัดเจนคือ มูลค่าของสัญญา โดยสัญญาฉบับใหม่ซึ่งถือเป็นสัญญาฉบับที่ 3 ที่ทำร่วมกับทางด้าน Dorna Sport ค่าลิขสิทธิ์ในการจัดการแข่งเพิ่มขึ้นเป็น 77 ล้านยูโร (ราว 2,892 ล้านบาท) เพิ่มจากสัญญาฉบับก่อนที่จะหมดลงในปีหน้าถึง 27 ล้านยูโร (ราว 1,014 ล้านบาท)

และข้อสังเกตที่สำคัญอีกประการคือ การเร่งรัดปิดดีลกับโมโตจีพีนั้นเป็นการทำเพื่อใช้สัญญาฉบับนี้เป็น “ตัวประกัน” หรือไม่ ในเรื่องข้อพิพาทการบุกรุกพื้นที่สร้างสนามแข่งขันที่เขากระโดง

 

ตัวประกันที่เขากระโดง?

ย้อนกลับไปในช่วงกลางปีที่ผ่านมา มีกรณีพิพาทใหญ่ที่ได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อ “อาณาจักรกีฬาบุรีรัมย์​“ อย่างสนามช้าง อารีนา ของ ทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และสนามแข่งรถ บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ตกเป็นข่าวว่าสร้างทับที่ของการรถไฟ

โดยที่อาจจะต้องถึงขั้นรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด!

ต่อเรื่องนี้ทางฝ่ายบุรีรัมย์ได้ชี้แจง “ข้อพิพาทเขากระโดง ความจริงที่ถูกปิด” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 268 ที่ผ่านมา โดยหัวใจของการแถลงอยู่ที่การยืนยันสิทธิในที่ดินของประชาชนว่ายังคงชอบด้วยกฎหมาย และได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายต่างๆ รวมถึงประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประมวลกฎหมายที่ดิน และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 37

โดยข้อโต้แย้งสำคัญคือ แผนที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ และไม่ได้แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาอย่างเป็นทางการ หรือพูดง่ายๆคือเป็นข้อมูลเท็จ ที่ทำให้ฝ่ายบุรีรัมย์มั่นใจว่าจังหวัดจะยังคงเป็นศูนย์กลาง หรือฮับกีฬาในระดับโลกที่จัดการแข่งขันทั้งรถแข่งต่างๆ การแข่งขันฟุตบอลของทีมอันดับหนึ่งในประเทศ และการแข่งวิ่งมาราธอนที่ใหญ่และได้รับความสนใจมากที่สุดรายการหนึ่งในไทย

หรือต่อให้สุดท้ายถูกตัดสินว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนจริง จุดที่ทับซ้อนเป็นพื้นที่บางส่วนของสนามแข่งรถ บริเวณโค้ง 11 และโค้ง 12 ซึ่งมีทางออกทั้งการปรับเปลี่ยนเลย์เอาต์ของสนามแข่ง หรือการจ่ายค่าเช่าพื้นที่ให้กับทาง รฟท. 

อย่างไรก็ดีประเด็นนี้ยังต้องจับตากันต่อไปว่าจะมีบทสรุปอย่างไร แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการต่อสัญญากับโมโตจีพี อาจจะมีผลต่อเรื่องนี้

 

โมโตจีพี ข่าวดีหรือข่าวร้ายประเทศไทย?

ประเด็นข้อพิพาทเรื่องพื้นที่ทับซ้อน และการเทคแอกชันของรัฐบาลอนุทิน ปฏิเสธไม่ได้ว่านำมาซึ่งคำถามใหญ่ของการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพี

อย่างไรก็ดี หากมองในแง่ของโอกาสแล้ว การได้สิทธิจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลกเป็นเครื่องมืออันทรงพลังได้ และสามารถสร้างผลดีต่อเศรษฐกิจได้อย่างมาก

ตามข้อมูลแล้วตลอด 6 ปีที่ผ่านมาการแข่งขันโมโตจีพี ที่บุรีรัมย์ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้กว่า 24,927 ล้านบาท ดึงดูดผู้ชมเฉลี่ยกว่า 206,000 คนต่อปี สร้างรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจท้องถิ่น

แน่นอนว่าจังหวัดบุรีรัมย์ในฐานะเมืองเจ้าภาพได้ประโยชน์เต็มๆ และถือเป็นหนึ่งในอีเวนต์สำคัญที่มีความหมายต่อเศรษฐกิจของทั้งจังหวัดได้เลยทีเดียว ขณะที่ประเทศไทยเองก็ได้ในเชิงของการประชาสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้วย เนื่องจากเสน่ห์ความเป็นไทยจะถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะผ่านบรรดานักแข่งที่เป็น “อินฟลูเอนเซอร์” ให้แก่แฟนๆจำนวนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกไปในตัว

อย่างไรก็ดีมันจะดีกว่านี้หากภาคเอกชนกลับมาให้ความสนใจ และร่วมสนับสนุนกันมากขึ้น เพื่อที่จะให้รัฐบาลไม่ต้องแบกภาระมากจนเกินไป โดยการที่ยังต้องพึ่งพางบสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี 

โดยเฉพาะการดึงเงินจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติมาใช้ ทั้งๆ ที่งบจำนวนนี้ควรจะถูกใช้สำหรับการพัฒนานักกีฬาในประเทศ อีกทั้งโมโตจีพีก็จัดการแข่งขันมาแล้วหลายปีไม่ใช่สัญญาณที่ดีสักเท่าไร

การต่อสัญญายาวอีก 5 ปี อาจจะมีส่วนช่วยในเรื่องของความมั่นใจของภาคเอกชนด้วยว่าอย่างน้อยเป็นอีเวนต์ระดับโลกที่ยังไปต่อได้ในประเทศไทย มีจำนวนผู้ชมมากมายมหาศาล เพียงแต่อยู่ที่การเจรจากันหลังจากนี้ว่าจะมีผู้สนับสนุนเข้ามาช่วยทำให้การแข่งเป็นไปอย่างยั่งยืนสมดังเป้าหมายหรือไม่

ดังนั้นถ้าถามว่าข่าวการต่อสัญญากับโมโตจีพีเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายสำหรับประเทศไทย เวลานี้อาจจะยังตอบได้ยาก และคงต้องใช้เวลาหาคำตอบกันไปอีก 5-6 ปี

รวมถึงยังต้องรอว่าไทยจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งรถเอฟวันในปี 2028 ด้วยหรือไม่ ที่อาจจะทำให้เรามองเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามันจะจุดกระแสทำให้เมืองไทยกลายเป็นฮับมอเตอร์สปอร์ตจริง

หรือจะยิ่งสร้างความลำบากให้แก่ภาคเอกชนที่ต้องถูกขอให้มาสนับสนุนการแข่งขันเพิ่มอีกรายการด้วยจำนวนเงินไม่น้อย และจะเป็นการแข่งกันเองหรือไม่สำหรับสุดยอดมอเตอร์สปอร์ตทั้ง 2 รายการนี้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์