ภาษีทรัมป์ดันซื้อขายเงินตราต่างประเทศ 'พุ่งสูงสุดทุบสถิติใหม่'

BIS เผย ยอดการซื้อขายเงินตราต่างประเทศทั่วโลกพุ่งขึ้น 'สูงสุดเป็นประวัติการณ์' 9.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน ผลพวงมาตรการภาษีทรัมป์ทำค่าเงินทั่วโลกผันผวนรุนแรง
ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) เปิดเผยว่า การซื้อขายในตลาดเงินตราต่างประเทศทั่วโลก ทำสถิติ "สูงสุดเป็นประวัติการณ์" เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เกิดความผันผวนของค่าเงินอย่างรุนแรง
BIS เปิดเผยผลการสำรวจที่จัดทำขึ้นทุกๆ 3 ปีว่า ธุรกรรมซื้อขายนอกตลาดโดยเฉลี่ยต่อวันในเดือนเม.ย. 2025 เพิ่มขึ้นเป็น 9.6 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 310 ล้านล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นถึง 28% จากเดือนเดียวกันของปี 2022
นอกจากนี้ การซื้อขายตราสารอนุพันธ์อัตราดอกเบี้ยนอกตลาด (OTC) ก็เพิ่มขึ้น 59% เป็น 7.9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน (ราว 255 ล้านล้านบาท)
ภาพรวมของตลาดในรอบหนึ่งเดือนนั้น ตรงกับช่วงที่การซื้อขายเงินตราต่างประเทศผันผวนมากที่สุดของปีจนถึงตอนนี้ มาตรการภาษีของทรัมป์ในวันปลดแอกสหรัฐ 2 เม.ย. สร้างผลกระทบต่อสินทรัพย์ไปทั่วโลก ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเพราะสถานะ "สกุลเงินปลอดภัย" ถูกสั่นคลอน ขณะที่ดัชนีความผันผวนค่าเงินของ JPMorgan Chase & Co. ในเดือนดังกล่าวก็พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบสองปีเช่นกัน
"การสำรวจครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและกิจกรรมการซื้อขายที่พุ่งสูงขึ้น หลังจากการประกาศนโยบายการค้าในช่วงต้นเดือนนั้นโดยรัฐบาลประเทศใหญ่ๆ” รายงานของ BIS ระบุ และเสริมว่าการสำรวจครั้งก่อนในเดือนเม.ย. 2022 ก็สอดคล้องกับความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากจากที่รัสเซียเริ่มทำสงครามบุกยูเครนเช่นกัน
ทั้งนี้ BIS จะดำเนินการสำรวจทุกๆ สามปี นับตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุดเกี่ยวกับขนาดและโครงสร้างของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนโลก โดยมีสถาบันการเงินมากกว่า 1,100 แห่ง ที่ร่วมให้ข้อมูลในการสำรวจฉบับล่าสุดปี 2025
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของตลาดได้เริ่มผ่อนคลายลงนับตั้งแต่ทรัมป์เปิดเผยแผนภาษีของเขาเป็นครั้งแรก และขณะนี้ดัชนีชี้วัดของ JPMorgan ก็เคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางปี 2024 แต่เทรดเดอร์บางรายชี้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์กำลังช่วยลดความผันผวนลง
ทั้งนี้ มูลค่าการซื้อขาย 9.6 ล้านล้านดอลลาร์นี้ ยังไม่รวมธุรกรรมที่ซื้อขายผ่านตลาดล่วงหน้าซึ่ง BIS ประเมินไว้ที่ประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์สต่อวัน ในเดือนเม.ย. 2025 นอกจากนี้ ยังมีธุรกรรมนอกตลาด (OTC) อีกมากที่การสำรวจไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้ เนื่องจากไม่มีดีลเลอร์ที่รายงานต่อ BIS ซึ่งหมายความว่าปริมาณการซื้อขายที่แท้จริงของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนน่าจะสูงกว่านี้
'ดอลลาร์' ยังครองโลก - 'หยวน' มาแรง
รายงานระบุว่า "ดอลลาร์สหรัฐ" ยังคงมีอิทธิพลเหนือตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก และครองสัดส่วน 89.2% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 88.4% ในปี 2022 ในขณะที่สัดส่วนของ "เงินยูโร" ลดลงเหลือ 28.9% จาก 30.6% ขณะที่สัดส่วนของ "เงินเยนญี่ปุ่น" ทรงตัวที่ 16.8%
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขาย "เงินปอนด์สเตอร์ลิง" กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัดนั้นเห็นได้ชัดเหลือ 10.2% จาก 12.9% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในการสำรวจสามครั้งที่ผ่านมา และยังส่งผลให้ช่องว่างระหว่างกับ "เงินหยวน" ของจีนยิ่งแคบลง และใกล้จะขยับขึ้นมาเทียบเท่าเงินปอนด์อังกฤษที่อยู่ในอันดับ 4 ของโลกแล้ว โดยสัดส่วนเงินหยวนของจีนเพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 8.5% ขณะที่เงิน "ฟรังก์สวิส" เพิ่มขึ้นจาก 5.2% สู่ 6.4%
ในแง่ของโครงสร้างตลาดนั้น การซื้อขายกับนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 13% ของตลาด สูงขึ้นจากสามปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 11% ขณะที่ปริมาณการซื้อขายกับกองทุนป้องกันความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) และบริษัทซื้อขายหลักทรัพย์แบบ Prop trade ก็เพิ่มขึ้นเป็น 8% ของมูลค่าการซื้อขายทั่วโลก เทียบกับ 7% ในการสำรวจครั้งล่าสุด
ในทางตรงกันข้าม สัดส่วนการซื้อขายกับลูกค้าที่ไม่ใช่สถาบันการเงินมีแนวโน้มลดลง โดยคิดเป็นสัดส่วน 5% ของมูลค่าการซื้อขายทั่วโลก จาก 6% ในปี 2565






