สื่อนอกเผย 'คลัง-ธปท.' เล็งเก็บภาษีซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง กำลังหารือเรื่อง "การเก็บภาษีทองคำแท่ง" ที่ซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ และชำระเป็นเงินบาท เพื่อชะลอภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าหนัก หลังดอลลาร์ไหลบ่าเข้ามาผ่านการซื้อขายทอง

แหล่งข่าวซึ่งไม่เปิดเผยนามเนื่องจากข้อมูลดังกล่าวยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ระบุว่า การเก็บภาษีดังกล่าวอาจยกเว้นให้ทองคำที่ซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซื้อขายในตลาดล่วงหน้า (futures) หรือการซื้อขายจากร้านค้าทองคำแท่ง 

มาตรการนี้บ่งชี้ว่าทางการไทยจะมุ่งลดการส่งออกทองคำ และทำให้คนไทยมีภาระต้นทุนสูงขึ้นในการซื้อหาเป็นเจ้าของทองคำแท่ง โดยแหล่งข่าวเสริมว่า เงินดอลลาร์ที่ไหลเข้ามาจากการซื้อขายทองคำแท่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น

หลังมีรายงานข่าวนี้ ค่าเงินบาท ปรับตัวอ่อนค่าลงต่ำสุด 0.6% ระหว่างการซื้อขายวันนี้ มาอยู่ที่ 31.92 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่อ่อนค่าลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.2568

ทั้งนี้ การส่งออกทองคำของไทย ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี 2568 พุ่งขึ้น 69% สู่ระดับ 254,000 ล้านบาท (ราว 8 พันล้านดอลลาร์) เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะการส่งออกทองคำไปยัง "กัมพูชา" ที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องให้มีการสอบสวนเรื่องนี้ ขณะที่ตลอดทั้งปีราคาทองคำแท่งทั่วโลกพุ่งขึ้นแล้วเกือบ 40%

อย่างไรก็ตาม ผู้แทนกระทรวงการคลังและธปท. ยังไม่ได้ตอบรับการขอความเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

รายได้จากการส่งออกทองคำเป็นปัจจัยที่หนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2564 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลอดทั้งปีนี้แข็งค่าขึ้นแล้ว 7% ทำให้เกิดการเรียกร้องให้ ธปท.เข้าแทรกแซงมากขึ้น เพื่อปกป้องภาคการส่งออก และการท่องเที่ยวจากผลกระทบของเงินบาทแข็งค่า

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ ธปท. มีกำหนดพบปะกับตัวแทนบริษัทค้าทองคำในวันจันทร์นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับผลกระทบของทองคำต่อค่าเงินบาท รวมถึงแนวทางในการรายงานธุรกรรมให้เข้มงวดขึ้น 

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะหารือกับ ธปท. อีกครั้ง และจะมีการตัดสินใจหลังจากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับตำแหน่ง โดยการเสนอการเก็บภาษีรายการนี้เป็น "ภาษีธุรกิจเฉพาะ" หากผู้ขายทองคำแปลงรายได้จากเงินดอลลาร์เป็นเงินบาท ธุรกรรมดังกล่าวอาจถูกเก็บภาษี แต่ยังไม่มีการสรุปอัตราที่จะเรียกเก็บว่าจะอยู่ที่เท่าไร 

ที่มา: Bloomberg

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์