ผู้ว่าแบงก์ชาติเผยสื่อนอก 'การเมืองไทยติดหล่ม' เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจปีหน้า

ผู้ว่าแบงก์ชาติเผยสื่อนอก 'การเมืองไทยติดหล่ม' เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจปีหน้า

เศรษฐพุฒิเผยสื่อนอก 'การเมืองไทยติดหล่ม' เสี่ยงทำเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า อาจกระทบอันดับเครดิตประเทศ เสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทยปีหน้า 2569 จากเดิมที่คาดว่าจะชะลอตัวลงจากปีนี้อยู่แล้ว

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีหน้ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยมีความเป็นไปได้ที่ "การเบิกจ่ายงบประมาณ" จะล่าช้าลง เนื่องมาจากภาวะชะงักงันทางการเมืองของประเทศไทย

"สิ่งที่เรากังวลคือปีหน้า" นายเศรษฐพุฒิให้สัมภาษณ์กับฮัสลินดา อามิน ผู้สื่อข่าวบลูมเบิร์กทีวีเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยธปท.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 1.7% ในปี 2569 จากที่คาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 2% ในปีนี้ "แต่ด้วยความไม่แน่นอนทั้งหมดนี้ ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง" หากรัฐบาลเลื่อนการเบิกจ่ายงบประมาณปีหน้าออกไป

ผู้ว่าการธปท. ซึ่งกำลังจะหมดวาระในสิ้นเดือนก.ย.นี้ กล่าวว่า ขอบเขตของนโยบายการเงินนั้นมีจำกัด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นไปตามที่ธปท.ต้องการ และมีเพียงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ "ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ" เท่านั้น ที่จะทำให้ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง

นายเศรษฐพุฒิกล่าวด้วยว่า อันดับความน่าเชื่อถือ หรือเครดิตเรตติ้งของไทยก็อาจมีความเสี่ยงเช่นกัน หากความเสี่ยงทางการเมืองที่กระทบต่อเศรษฐกิจยังคงยืดเยื้อ  และไม่มีการปรับสมดุลทางการคลังในระยะสั้น 

บลูมเบิร์กระบุว่า นายวิทัย รัตนากร อดีตผู้ว่าการธนาคารออมสินจะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการธปท. คนใหม่ในวันที่ 1 ต.ค. นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายคาดว่าธปท. ภายใต้การนำของนายวิทัยอาจมีท่าที "ผ่อนคลายทางการเงิน" มากขึ้น เมื่อเทียบกับนายเศรษฐพุฒิที่ต่อต้านแรงกดดันจากรัฐบาลให้ลดดอกเบี้ยมาอย่างยาวนาน 

นายเศรษฐพุฒิยังได้ปฏิเสธความกังวลเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารกลาง โดยกล่าวว่าธปท. ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถรักษาความเป็นอิสระและพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้อง

"ความเป็นอิสระของธนาคารกลางนั้นลึกซึ้งกว่าตัวบุคคลเพียงหนึ่งคน" เศรษฐพุฒิกล่าว "ผมไม่ได้บอกว่าไม่มีความเสี่ยง ไม่ได้จะมองโลกในแง่ดี เราคงต้องรอดูคณะกรรมการนโยบายการเงินกันต่อไป เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในช่วงปลายปีนี้และปีหน้า"

ที่มา: Bloomberg