'จีน' แห่ขายทองคำ จ่อซบตลาดหุ้น ดันเงินไหลออกสูงสุดทุบสถิติใหม่

'จีน' แห่ขายทองคำ จ่อซบตลาดหุ้น ดันเงินไหลออกสูงสุดทุบสถิติใหม่

สื่อชี้นักลงทุนในจีนเปลี่ยนโมเมนตัม เทขาย 'ETF ทองคำ' คาดหันไปลงทุนใน 'ตลาดหุ้น' แทน หลังราคาทองเริ่มทรงตัว สวนทางตลาดหุ้นจีนมาแรงยุครัฐบาลเน้นการบริโภคภายใน ดัน 4 กองทุนใหญ่ขายสุทธิสูงสุดทุบสถิติในเดือนก.ค. นี้

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นักลงทุนใน "จีน" ดูเหมือนจะเริ่มเปลี่ยนทิศจากกองทุน "ETF ทองคำ" ไปสู่ "ตลาดหุ้นจีน" โดยกระแสเงินไหลออกจาก ETF ทองคำมีแนวโน้มแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะที่ราคาหุ้นจีนกำลังปรับตัวสูงขึ้น และราคาทองคำชะลอตัวลง

จากข้อมูลที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์ก พบว่า กองทุน ETF ทองคำ 4 กองทุนหลักในจีน ได้แก่ Huaan Yifu, Bosera, E Fund และ Guotai มีเงินทุนไหลออกสุทธิรวมกันในเดือนนี้ประมาณ 3.2 พันล้านหยวน (ราว 1.45 หมื่นล้านบาท) ในขณะที่ดัชนี CSI 300 ปรับตัวสูงขึ้น 5.5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2567

"นักลงทุนบางส่วนดูเหมือนกำลังเทขายทำกำไรจากทองคำ และหันไปลงทุนในหุ้นตามโมเมนตัมที่มาแรงกว่า" สตีฟ โจว นักวิเคราะห์จาก Huaan Fund Management Co. ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุน ETF ทองคำรายใหญ่ที่สุดในจีนกล่าว และเผยด้วยว่า "นักลงทุนรายย่อย" เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออก

ปัจจุบัน จีนเป็นตลาดทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก และแม้ว่ากองทุน ETF ทองคำในจีนจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับในประเทศอื่นๆ แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่ทำให้นักลงทุนในประเทศเข้าถึงการลงทุนทองคำได้ง่ายที่สุด และยังเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญของความเชื่อมั่นในตลาด ขณะที่การลงทุนทองคำโดยตรงในจีนยังมีข้อจำกัดอยู่ นับตั้งแต่ธนาคารพาณิชย์ระงับการเปิดบัญชีซื้อขายทองคำแท่งสำหรับบุคคลทั่วไปเมื่อ 5 ปีก่อน

ทองคำนับเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์หลักที่มีผลประกอบการแข็งแกร่งที่สุดในปีนี้ โดยปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 1 ใน 4 จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่แข็งแกร่งขึ้น ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และแรงซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 โดยราคาพุ่งไปทุบสถิติใหม่ในเดือนเม.ย. แต่นับจากนั้นมา ราคาทองคำส่วนใหญ่มีแนวโน้มทรงตัว แม้ว่าธนาคารต่างๆ ซึ่งรวมถึงโกลด์แมน แซคส์ จะคาดการณ์ว่าทองยังมีศักยภาพในการทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกก็ตาม

ในทางกลับกัน "ตลาดหุ้นจีน" กำลังตอบรับเชิงบวกต่อความพยายามของรัฐบาลปักกิ่งที่ต้องการควบคุม "สงครามราคา" ที่รุนแรง และการแข่งขันที่มากเกินไปซึ่งนำไปสู่ภาวะการผลิตล้นตลาด (overcapacity) ในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า "เน่ยจวน" (involution) ซึ่งการเคลื่อนไหวของปักกิ่งเพื่อจัดการปัญหานี้คาดว่าจะช่วยยกระดับความสามารถในการทำกำไรและผลประกอบการของภาคธุรกิจในระยะยาว ทำให้เพิ่มความน่าดึงดูดให้กับตลาดหุ้นจีนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม บลูมเบิร์กระบุด้วยว่ายังไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่า เงินที่ไหลออกจากกองทุน ETF ทองคำ จะเข้าไปสู่ตลาดหุ้นในประเทศหรือไม่ โดยตัวเลขเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF หุ้นในเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นยังคงเป็นลบในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าตัวเลขนี้อาจไม่ได้ครอบคลุมถึงการการลงทุนในหุ้นรายตัวก็ตาม

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์จีน เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากทำผลงานตามหลังตลาดโดยรวมมานานถึง 3 ปี เซ็กเตอร์นี้กลายเป็นหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในปี 2568 นี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการปฏิรูปด้านอุปทาน รวมถึงการเปิดตัวโครงการไฟฟ้าพลังน้ำมูลค่า 1.67 แสนล้านดอลลาร์ในทิเบตเมื่อเร็วๆ นี้

"มุมมองของผมคือ หุ้นมีแนวโน้มที่จะยังคงแข็งแกร่งในระยะสั้น ส่วนทองคำอาจจะไม่ได้อ่อนตัวลงมากนัก” เคนนี อึ้ง นักกลยุทธ์จากบริษัทหลักทรัพย์ไชน่า เอฟเวอร์ไบรท์ ซีเคียวริตีส์ อินเตอร์แนชันนัล กล่าว และคาดการณ์ว่าที่สุดแล้วกองทุน ETF ทองคำในจีนอาจทรงตัวในระดับหนึ่ง โดยไม่มีเงินไหลเข้าหรือไหลออกอย่างรุนแรง

ที่มา: Bloomberg