'ดร.รุ่ง' เปิดใจสื่อนอก ย้ำต้องร่วมมือกับรัฐบาล จะดูแลดอกเบี้ย 'เชิงรุก' มากขึ้น

'ดร.รุ่ง' ให้สัมภาษณ์สื่อนอก ย้ำต้องร่วมมือกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด พร้อมทำงาน 'เชิงรุก' มากขึ้นอีกเล็กน้อยเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ย
นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กล่าสุดว่า ตนจะ “ทำงานเชิงรุกมากขึ้นเล็กน้อย” ในการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ย พร้อมเรียกร้องให้มีการประสานงานกันใกล้ชิดมากขึ้น ระหว่างฝ่ายนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
“เนื่องจากเรามีทรัพยากรจำกัดมาก กระสุนทุกนัดที่ใช้จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น” รองผู้ว่าฯ ธปท. ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคารที่ 15 ก.ค.68 “สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราร่วมมือกัน และนโยบายของเราถูกกำหนดให้ไปในทิศทางเดียวกัน อย่างสอดประสาน และมีการประสานงานกันที่ดีกว่าเดิม”
การให้สัมภาษณ์ของ ดร.รุ่ง ในครั้งนี้ มีขึ้นในวันเดียวกันกับที่มีรายงานข่าวคาดว่าคณะรัฐมนตรีจะให้การรับรองนาย "วิทัย รัตนากร" นักการธนาคารมากประสบการณ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ "แต่แล้วการตัดสินใจสุดท้ายเมื่อวานนี้ ได้ถูกเลื่อนออกไปอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์" ทำให้เกิดความเป็นไปได้ว่า นางรุ่ง อาจยังมีโอกาสขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของแบงก์ชาติอยู่
ดร.รุ่ง เป็นนักการธนาคารกลางมืออาชีพวัย 56 ปี สำเร็จการศึกษาจาก ม.ฮาร์วาร์ด สหรัฐ และถูกคาดหมายอย่างกว้างขวางว่า เป็นตัวแทนความต่อเนื่องทางนโยบายของนาย "เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ" ผู้ว่าฯ ธปท. คนปัจจุบันที่กำลังจะหมดวาระ ซึ่งต่อต้านแรงกดดันจากรัฐบาลในเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย สวนทางกับนายวิทัย ที่ออกมาเรียกร้องต่อสาธารณะให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยลง
บลูมเบิร์ก ระบุว่า ความล่าช้าอย่างกะทันหันในการแต่งตั้งผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ยิ่งเพิ่ม "ความไม่แน่นอน" มากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บุตรสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยทักษิณซึ่งครอบครัวของเขาชนะการเลือกตั้งมาเกือบทุกครั้งนับตั้งแต่ต้นศตวรรษนี้ พยายามผลักดันนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายลงมาตลอด พร้อมปะทะกับบรรดา นายพล ผู้พิพากษา และข้าราชการสายอนุรักษนิยม
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังอยู่ระหว่างการพยายามหลีกเลี่ยงการถูกขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาการส่งออก และพยายามกระตุ้นการเติบโตที่ซบเซา ในขณะที่ดัชนี SET ตลาดหุ้นไทย นับเป็นหนึ่งในดัชนีตลาดหุ้นที่มี "ผลประกอบการแย่ที่สุดในโลก" ในปีนี้
ในช่วงที่นายเศรษฐพุฒิ เป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ ธปท.ได้ยืนกรานต่อต้านแรงกดดันจากรัฐบาลที่จะให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง และขยายกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อให้สูงขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่เติบโต "ตามหลัง" ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
พร้อมเป็นผู้ว่าฯ ที่รับฟัง
นางรุ่ง กล่าวว่า หากได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าฯ ธปท. จะเปิดให้มีการหารือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย ทั้งจากรัฐบาล ภาคการเงิน และภาคเอกชน ตั้งแต่เริ่มรับตำแหน่ง
"หลายครั้งที่เราปล่อยผ่านเรื่องต่างๆ ให้ลุกลามจนถึงขั้นกลายเป็นการเผชิญหน้า" รองผู้ว่าฯ ธปท.กล่าว “การที่เราได้รับฟังพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ บอกพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ และพวกเขาก็รับฟังเราตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้เรามีโอกาสในการแก้ไขปัญหา และเห็นพ้องต้องกันมากขึ้น รวมถึงทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีเวลาเตรียมการมากขึ้นด้วย”
ดร.รุ่ง กล่าวว่า เธอสนับสนุนจุดยืนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในปัจจุบันของ ธปท. ซึ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงแล้ว 75 จุดพื้นฐาน (bsp) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 และชี้ว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ลดต้นทุนการกู้ยืมลง ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมของการลดดอกเบี้ยลดลง
"ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนนี้ นโยบายการเงินจำเป็นต้องสนับสนุน และทำหน้าที่เป็นสมอเรือแห่งเสถียรภาพ" ดร.รุ่ง ซึ่งดูแลด้านเสถียรภาพระบบการเงินของ ธปท. กล่าว "ตอนนี้มีความไม่แน่นอนมากเกินไปอยู่แล้ว และเราไม่ควรเพิ่มมันเข้าไปอีก ดิฉันอาจจะออกตัวเชิงรุกมากขึ้นเล็กน้อยในการชี้นำทิศทางอัตราดอกเบี้ย"
ทั้งนี้ ยอดสินเชื่อรวมของไทยหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สาม ขณะที่หนี้ครัวเรือนก็ยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ภายใต้การนำของนายเศรษฐพุฒิ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาขอบเขตนโยบายที่มีอย่างจำกัดนี้ไว้ เพื่อเก็บกระสุนไว้รองรับความผันผวนในอนาคต แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 50-75 จุดพื้นฐาน (ราว 0.5-0.75%) ในปีนี้
สำหรับนายวิทัย วัย 54 ปี ซึ่งเป็นตัวเต็งผู้ว่าฯ ธปท. คนใหม่ เป็นผู้สนับสนุนการลดดอกเบี้ย และการประสานกันระหว่างนโยบายการคลัง และการเงินเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยที่กำลังอ่อนแรง ในฐานะ "ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน" ซึ่งเป็นหัวหอกของรัฐในฐานะแบงก์รัฐที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ครัวเรือน และบุคคลที่มีภาระหนี้ เขาจึงถูกมองว่ามีความใกล้ชิดกับกระทรวงการคลัง ทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลาง
ส่วน นางรุ่ง ซึ่งเป็นลูกหม้อที่ทำงานกับ ธปท. มาเกือบ 30 ปี มีส่วนร่วมกำหนดนโยบายการเงิน กำกับดูแลสถาบันการเงิน และกำกับดูแลฟินเทค รวมทั้งเคยทำงานที่ธนาคารกรุงไทยมาก่อน
"ดิฉันเคยรับมือกับความท้าทายทั้งในระดับมหภาค และจุลภาค ค่อนข้างคุ้นเคยกับเครื่องมือของธนาคารกลาง รวมถึงขอบเขตการทำงาน ซึ่งจริงๆ แล้วกว้าง และใหญ่มากๆ... เลยอยากนำเสนอประสบการณ์ตรงนี้ค่ะ” ดร.รุ่งกล่าว
ที่มา: Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







