เปิดปมทีมเรดบูลปลดคริสเตียน ฮอร์เนอร์ สะท้อนสมการอำนาจใหม่ในเครือ Red Bull?

เปิดปมทีมเรดบูลปลดคริสเตียน ฮอร์เนอร์  สะท้อนสมการอำนาจใหม่ในเครือ Red Bull?

กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดกระแสข่าวระดับสะเทือนวงการเมื่อทีมเรดบูล เรซิง (Red Bull Racing) ประกาศแยกทางกับคริสเตียน ฮอร์เนอร์ หัวหน้าทีม (Team principal) ที่เป็นเสาหลักของทีมมาตั้งแต่วันแรกของการก่อตั้งทีมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

KEY

POINTS

Key points

  • เช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาฟ้าได้ผ่ากลางใจของทุกคนในโรงงานของทีมรถแข่งเรดบูล เมื่อมีการประกาศว่า คริสเตียน ฮอร์เนอร์ พ้นจากตำแหน่งหัวหน้าทีม
  • นักวิเคราะห์จากสื่อต่างประเทศที่คร่ำหวอดในวงการจึงมองว่า เฉลิม อยู่วิทยา แม้จะเคยให้ท้ายฮอร์เนอร์มาโดยตลอด แต่ผลงานที่ย่ำแย่ในช่วงที่ผ่านมาได้ทำให้เขาเปลี่ยนใจ ไม่คิดจะสนับสนุนหรือปกป้องต่อไปอีก
  • การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถ้าเป็นความจริงตามรายงานข่าว (Red Bull GmbH ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น) จะส่งผลให้ไม่มีฝ่ายใดที่ถือหุ้นมากกว่ากัน โดยตระกูลมาเทสชิตซ์ และตระกูลอยู่วิทยาถือหุ้นเท่ากันที่ 49 เปอร์เซ็นต์

ถึงแม้ว่าฮอร์เนอร์และทีมเรดบูลจะเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาช่วงระยะเวลา 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาแต่ไม่มีใครคิดว่าบุคคลสำคัญในระดับนี้จะถูกปลดจากตำแหน่งแบบ “ฟ้าผ่า” ในช่วงกลางฤดูกาลแบบนี้

ภาพการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์อำลาของคนที่กลายเป็นอดีตหัวหน้าทีมในวัย 51 ปี ณ โรงงานของทีมเรดบูล ในเมืองมิลตันคีย์นส์ ประเทศอังกฤษ จึงเป็นภาพที่น่าใจหายพอสมควร โดยเฉพาะกับคนที่เป็นแฟนของทีมเรดบูล

เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ฮอร์เนอร์คือคนสำคัญที่ทำให้ทีมก้าวขึ้นมาจากศูนย์สู่การเป็นทีมเบอร์หนึ่งของวงการได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีนักแข่งคว้าแชมป์โลกได้ถึง 8 สมัย และการคว้าแชมป์ทีมผู้สร้าง ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับทีมงานทุกคนที่อยู่เบื้องหลังอีกถึง 6 สมัย

ในอีกด้านการปลดคนระดับนี้โดยกระทันหันไม่มีเวลาให้ทันตั้งตัวแบบนี้ (เพิ่งจะจบการแข่งขันบริติช กรังด์ปรีซ์ ที่สนามซิลเวอร์สโตน) เป็นเรื่องที่ยากจะปฏิเสธว่าน่าจะมีสาเหตุ เบื้องลึก และเบื้องหลังที่น่าสนใจอย่างมาก

โดยข้อมูลล่าสุดชี้ว่าบางทีการปลดฮอร์เนอร์จากตำแหน่งนี้ อาจไม่ได้เป็นเหตุผลของเรื่อง “กีฬา” แค่อย่างเดียว

แต่มีเรื่องของสมการอำนาจที่เปลี่ยนแปลงไปของเครือ Red Bull GmbH กับหุ้น 2 เปอร์เซ็นต์ของตระกูล “อยู่วิทยา”​ ที่อาจทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ฟ้าผ่ากลางมิลตันคีย์นส์

เช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาฟ้าได้ผ่ากลางใจของทุกคนในโรงงานของ ทีมรถแข่งเรดบูล เมื่อมีการประกาศว่า คริสเตียน ฮอร์เนอร์ พ้นจากตำแหน่งหัวหน้าทีม

สำหรับชาวเรดบูลแล้ว ฮอร์เนอร์ มีสถานะไม่ต่างอะไรจาก “พ่อ” และ “เสาหลัก” ที่ค้ำยันทีมตลอดช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา

ในบทบาทของหัวหน้าทีมแล้ว เขาไม่ได้มีเพียงแค่หน้าที่ในการชี้นิ้วสั่ง แต่แทบจะลงมาทำในทุกรายละเอียด และใช้เวลาในการค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีมที่ไม่มีอะไรเลย ทั้งยังถูกกังขาจากคนในโลกกีฬาว่าเป็นแค่ “เครื่องมือทางการตลาด” ของ Red Bull ให้กลายเป็นทีมรถแข่งที่ร้อนแรงที่สุดของโลก

วันที่ดีที่สุดรถแข่งของพวกเขาเคยครองโลกได้ต่อเนื่องถึง 4 สมัยติดต่อกัน และไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย แต่ทำได้ถึง 2 ครั้ง ในยุคของเซบาสเตียน เวทเทิล (2010-2013) ก่อนที่แม็กซ์ แวร์สเตปเพน จะกระชากตำแหน่งแชมป์โลกกลับมาให้ทีมได้อีกครั้งในยุคล่าสุด (2021-2024)

ข่าวดังกล่าวจึงสะเทือนความรู้สึกของทุกคนในทีมที่ยังคงเชื่อมั่นและผูกพันในตัวผู้นำของทีมอย่างมาก และในทางกลับกันฮอร์เนอร์เองก็ผูกพันกับทุกคนในทีมเป็นอย่างดี ไม่มีใครในโรงงานนี้ที่เขาไม่รู้จัก ตั้งแต่เป็นวิศวกรเครื่องยนต์คนสำคัญ ไปจนถึงทีมช่างในระดับปฏิบัติการ

ฮอร์เนอร์ ซึ่งทราบข่าวหลังได้รับการแจ้งว่า “ไม่ต้องมาปฏิบัติหน้าที่อีก” ได้ขอโอกาสในการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์แก่ทีมงานของเรดบูลทุกคน

 “ช่วงเวลาที่ได้อยู่ที่เรดบูล คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม”

นารีพิฆาต ข้อความชู้สาวที่ทำลายทุกอย่าง

แต่ไม่ว่าฮอร์เนอร์จะยิ่งใหญ่แค่ไหนในทีม (มีสัญญาระยะยาวถึงปี 2030 โดยจะได้รับค่าตอบแทนถึงปีละ 12 ล้านปอนด์ หรือ 524 ล้านบาท) คนที่ทำลายทุกสิ่งอย่างไม่เฉพาะกับตัวเองแต่รวมถึงทีมด้วยก็คือตัวของเอง

ปลายปี 2023 เกิดข่าวอื้อฉาวขึ้นในทีมเรดบูล เมื่อมีข่าวว่าฮอร์เนอร์ ได้ส่งข้อความในเชิงชู้สาวที่ไม่เหมาะสมให้แก่พนักงานในทีม

เรื่องนี้ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ เพราะแม้ว่าทีมจะดำเนินการสอบสวนเป็นการภายใน ซึ่งมีการประกาศว่า “ไม่พบการกระทำผิด” เช่นกันกับในการสอบสวนเป็นครั้งที่ 2 ที่มีคณะกรรมการอิสระเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งฮอร์เนอร์ยังรอดตัวอยู่

แต่คำถามในเรื่อง “จริยธรรม” ได้นำไปสู่การแตกร้าวที่ไม่มีวันกลับมาต่อกันได้ภายในทีม

จอสส์ แวร์สเตปเพน ผู้เป็นพ่อของ แม็กซ์ แวร์สเตปเพน นักขับเบอร์หนึ่งของทีมแสดงออกว่าต่อต้านฮอร์เนอร์อย่างชัดเจนและชี้ว่าควรหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพราะไม่เช่นนั้น “ทีมจะแตกแน่”

คำขู่นั้นเป็นเรื่องจริงเพราะในเวลาต่อมาทีมงานฝีมือดีในระดับสุดยอดของวงการที่เป็นระดับ “เฮด” ของทีมทยอยลาออกจากตำแหน่ง โดยเฉพาะในรายของ อาเดรียน นิวอี นักออกแบบรถซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะของวงการได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง และพักการทำหน้าที่จนจบฤดูกาลที่ผ่านมา (ทีมเริ่มผลงานดร็อปลงชัดเจน)​ ก่อนจะย้ายไปอยู่กับทีม แอสตัน มาร์ติน

เพียงแต่ฮอร์เนอร์และทีมเรดบูลไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เพราะเบื้องหลังแล้ว เป็นที่รู้กันว่าเขายังมีเฉลิม อยู่วิทยา ทายาท “กระทิงแดง” ที่เป็นแบ็กอัพให้การสนับสนุน คอยปกป้องทุกอย่าง

และฝั่งไทยนี่เองที่เป็นผู้กุม “กุญแจสำคัญ” ในเรื่องนี้

ศึกภายใน

ในวันที่มีการประกาศปลดฮอร์เนอร์จากตำแหน่ง มีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของผลงานที่ย่ำแย่ของทีมในฤดูกาลนี้

โดยเฉพาะการมีข่าวว่า แม็กซ์ แวร์สเตปเพน อาจจะย้ายไปอยู่กับคู่แข่งสำคัญอย่าง ทีมเมอร์ซีดีส (Mercedes) ซึ่งโตโต วูล์ฟ หัวหน้าทีมจากเยอรมนีไม่ได้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับแต่อย่างใด

ข่าวดังกล่าวถือว่าสั่นคลอนบรรยากาศในทีมมากพอสมควร และถูกมองว่าเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในทีม เพียงแต่ในมุมของนักวิเคราะห์แล้วอนาคตของยอดนักขับชาวดัตช์ไม่ได้ส่งผลสำคัญต่ออนาคตของฮอร์เนอร์ เพราะสิ่งที่ตัดสินคือ “ผลงาน”

สำหรับคนที่ติดตามการแข่งเอฟวันน่าจะพอทราบและได้เห็นว่าในฤดูกาลนี้ (2025) รถแข่งของทีมที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งมาตลอดนั้นประสบปัญหามากมายมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพละกำลังที่สู้กับทีมคู่แข่งได้ ไม่เฉพาะแค่แม็คลาเรน (McLaren) แต่ยังมีเรื่องอื่นๆทางเทคนิคอีกมากมาย เช่น การเกาะถนน ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากการที่เรดบูลสูญเสียทีมงานฝีมือดีไปในช่วงก่อนหน้านี้ ที่แม้แต่การเข้าพิตซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของทีมในการสลับยาง เวลานี้พวกเขาก็ทำได้แย่ลงอย่างน่าใจหาย

นักวิเคราะห์จากสื่อต่างประเทศที่คร่ำหวอดในวงการจึงมองว่า เฉลิม อยู่วิทยา แม้จะเคยให้ท้ายฮอร์เนอร์มาโดยตลอด แต่ผลงานที่ย่ำแย่ในช่วงที่ผ่านมาได้ทำให้เขาเปลี่ยนใจ ไม่คิดจะสนับสนุนหรือปกป้องต่อไปอีก

“ตามความเข้าใจของผม การสนับสนุนที่เขาเคยได้มันหายไปนานแล้ว” เคร็ก สเลเตอร์ ผู้สื่อข่าว Sky Sports วิเคราะห์ถึงสาเหตุ “ฮอร์เนอร์ไม่สามารถพึ่งพาเขาได้อีกต่อไป และฝั่งออสเตรียในบริษัทก็มองถึงการเปลี่ยนแปลง”

อย่างไรก็ดีลึกไปกว่านั้นแล้ว สิ่งที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงนั้นอาจเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าแค่เหตุผลของเรื่องกีฬามาก เพราะมันคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในบ้านของ Red Bull

สมการอำนาจใหม่ใน Red Bull

นับจากวันที่ ดีทริช มาเทสชิตซ์ ผู้ก่อตั้ง Red Bull GmbH เสียชีวิตในเดือนตุลาคม 2022 ภายในองค์กรของ Red Bull คล้ายมีเกมชิงอำนาจภายในมาโดยตลอด

โดยเฉพาะในยูนิตที่เป็นหน้าเป็นตาขององค์กรอย่างทีมรถแข่งเรดบูล เรซิง มีแรงสั่นสะเทือนเป็นการภายในอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกรณีข่าวอื้อฉาวของฮอร์เนอร์ ที่ดูเหมือนทางฝั่งบ้านออสเตรีย ที่นำมาโดย มาร์ค มาเทสชิตซ์ ทายาทของผู้ก่อตั้งจะต้องการเปลี่ยนแปลง

แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะในบริษัทแล้วทางฝั่งของเขาถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์และได้อำนาจเต็มในการบริหารธุรกิจ ในขณะที่ฝั่งตระกูลอยู่วิทยานั้น เฉลียว อยู่วิทยา ผู้ก่อตั้ง “กระทิงแดง” ถือหุ้นอยู่ 49 เปอร์เซ็นต์เท่ากัน แต่ตัวแปรสำคัญคือหุ้นในมือของเฉลิม อยู่วิทยา อีก 2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อบิดาเสียชีวิตทำให้เขาได้รับช่วงต่อและรวมแล้วถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ทางฝั่งไทยมีอำนาจที่เหนือกว่า

อย่างไรก็ดีล่าสุดมีการเปิดเผยถึงสิ่งที่อาจจะเป็นสาเหตุ คือรายงานข่าวที่ระบุถึงการตัดสินใจขายหุ้น 2 เปอร์เซ็นต์ของเฉลิม อยู่วิทยา ให้กับบริษัทกองทุนจากสวิตเซอร์แลนด์ที่ชื่อ Fides Trustees ในราคา 1.1 พันล้านเหรียญ (3.5 หมื่นล้านบาท) ตามเอกสารที่มีการยื่นต่อศาลในเมืองซัลส์บวร์ก ประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถ้าเป็นความจริงตามรายงานข่าว (Red Bull GmbH ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น) จะส่งผลให้ไม่มีฝ่ายใดที่ถือหุ้นมากกว่ากัน โดยตระกูลมาเทสชิตซ์ และตระกูลอยู่วิทยาถือหุ้นเท่ากันที่ 49 เปอร์เซ็นต์ และเรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในทีมเรดบูล เรซิง

โดยที่เรื่องนี้เป็นภาพสะท้อนในเชิงสมการอำนาจของเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่ามหาศาล ที่แม้จะมีการมองว่าลึกๆแล้วฝั่งไทยยังมีอำนาจเหนือกว่า เฉพาะฝั่งออสเตรียที่ถูกมองว่ามีบทบาทมากขึ้นในการบริหารกิจการทั้งหมด และการปลดฮอร์เนอร์จากตำแหน่งครั้งนี้เป็นการเขี่ยตัว “ขุน” ที่ส่งสัญญาณชัดเจนว่า Red Bull กำลังพยายามจะเข้าสู่ยุคใหม่

เพียงแต่สุดท้ายแล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีแค่เฉพาะในทีมรถแข่ง หรือจะส่งผลต่อองค์กรในภาพรวมของบริษัทที่มีมูลค่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (8.74 แสนล้านบาท) มียอดจำหน่ายเครื่องดื่มสูงถึง 1.267 หมื่นล้านกระป๋องทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไร

เป็นเรื่องที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง!

 

 

อ้างอิง