Here We Go! AIS Play ‘เบอร์หนึ่ง’ แพลตฟอร์มกีฬาของไทย?

Here We Go!  AIS Play ‘เบอร์หนึ่ง’ แพลตฟอร์มกีฬาของไทย?

ถึงแม้ว่าคอนเทนต์กีฬาจะถูกมองว่าเป็นคอนเทนต์เฉพาะกลุ่มที่ทำการตลาดได้ยากในสายตาและความรู้สึกของเหล่า Marketer แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในเวลานี้ Sports marketing กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลพสมควร

KEY

POINTS

Key points

  • AIS Play จะได้ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (380 แมตช์ต่อฤดูกาล) รวมถึงฟุตบอลเอฟเอ คัพ (63 แมตช์ต่อฤดูกาล), ฟุตบอลเอฟเอ คอมมิวนิตี ชิลด์ (1 แมตช์ต่อฤดูกาล) และฟุตบอลซัมเมอร์ ซีรีส์ รายการอุ่นเครื่องก่อนเปิดฤดูกาลอีก 6 แมตช์ ที่สำคัญคือระยะเวลาถือครองลิขสิทธิ์กินเวลายาวนานถึง 6 ปี
  • AIS Play ไม่ได้มีเพียงแค่พรีเมียร์ลีกเท่านั้น พวกเขาเก็บออมสะสมคอนเทนต์กีฬามาต่อเนื่องหลายปี ไทยลีก, ยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก, ยูเอฟา ยูโรปา ลีก, ยูเอฟา ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก, ฟุตบอลลาลีกา สเปน, รถแข่งฟอร์มูลาวัน, เทนนิสระดับแกรนด์สแลมอย่าง ออสเตรเลียน โอเพน และเฟรนช์ โอเพน และ NBA บน Prime Video
  • คอนเทนต์กีฬาระดับโลกที่เหลืออยู่ของทรูวิชั่นส์ ที่พอจะเชิดหน้าชูตาได้คือศึกอเมริกันฟุตบอล NFL อเมริกันเกมส์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด
  • การเติมพรีเมียร์ลีกเข้ามาไม่ได้มีเป้าหมายแค่การทำให้เป็น AIS Play เป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนใหญ่ที่มุ่งหวังให้ AIS Play เป็นศูนย์กลางความบันเทิงครบวงจรและใหญ่ที่สุด (The Largest Entertainment Hub) ในประเทศไทยด้วย

หนึ่งในความเคลื่อนไหวที่สำคัญมาจาก บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ “AIS” ที่ประกาศศักดาในตลาดคอนเทนต์กีฬาของประเทศไทยด้วยการคว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก จากประเทศอังกฤษ​ ในฐานะพันธมิตรของ Jas มาออกอากาศคู่ขนานบน AIS Play ดิจิทัลแพลตฟอร์ม

อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าสนใจคือการได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกมานั้นหมายถึงการที่ AIS Play เป็นผู้มีชัยในศึกชิง “The King of Sports” หรือตำแหน่งจ้าวแห่งวงการกีฬาที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของทรูวิชั่นส์มาอย่างยาวนานหรือยัง?

มงกุฎสีทอง

การร่วมมือกับ Jas พันธมิตรสำคัญจนได้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมาอยู่ในแพลตฟอร์มของ AIS Play ถือเป็นก้าวที่มีความสำคัญอย่างมาก

เพราะหลังจากที่พยายามมาอย่างยาวนานหลายปี นับตั้งแต่เริ่มการให้บริการ AIS Live TV ในปี 2013 ก่อนจะพัฒนาสู่ AIS Play แอปลิเคชันแพลตฟอร์มวีดีโอสตรีมมิงในปี 2016 ในที่สุดก็ได้ครอบครองคอนเทนต์กีฬาที่เปรียบเหมือน “เพชรยอดมงกุฎ” ของโลก หรือให้เห็นภาพง่ายกว่านั้นก็เหมือนมงกุฎสีทองของถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคือฟุตบอลที่มีผู้ชมมากที่ในโลกถึง 1.87 พันล้านคนจาก 900 ล้านครัวเรือน ใน 189 ประเทศทั่วโลก (ข้อมูล: Premier League 2024) ซึ่งในประเทศไทยพรีเมียร์ลีกคือรายการฟุตบอลที่ฮิตที่สุดตลอดกาลมายาวนานมากกว่า 30 ปี

ใครได้พรีเมียร์ลีกไปก็ไม่ต่างอะไรจากการได้สุดยอดแม่เหล็กระดับโลกที่พร้อมจะดึงดูดแฟนๆจำนวนมากมายมหาศาลหลายล้านคนเข้ามาสู่แพลตฟอร์มของตัวเอง

ตามการเปิดเผยของนายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไปของเอไอเอส ระบุว่า “ในไทยมีคนที่ชื่นชอบพรีเมียร์ลีกมากกว่า 5-6 แต่ที่ผ่านมายังดูแบบไม่ถูกลิขสิทธิ์ถึง 1.5 ล้านราย”

Here We Go!  AIS Play ‘เบอร์หนึ่ง’ แพลตฟอร์มกีฬาของไทย?

แปลว่ายังมีช่องว่างอีกมากที่จะเติบโตในตลาดนี้ โดย AIS Play จะได้ ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (380 แมตช์ต่อฤดูกาล) รวมถึง ฟุตบอลเอฟเอ คัพ (63 แมตช์ต่อฤดูกาล), ฟุตบอลเอฟเอ คอมมิวนิตี ชิลด์ (1 แมตช์ต่อฤดูกาล) และฟุตบอลซัมเมอร์ ซีรีส์ รายการอุ่นเครื่องก่อนเปิดฤดูกาลอีก 6 แมตช์

 

ที่สำคัญคือระยะเวลาถือครองลิขสิทธิ์กินเวลายาวนานถึง 6 ปี เวลานั้นนานพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างได้เลย แน่นอนว่ารวมถึงใจของลูกค้าด้วย

AIS Play สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุด

แต่ AIS Play ไม่ได้มีเพียงแค่พรีเมียร์ลีกเท่านั้น พวกเขาเก็บออมสะสมคอนเทนต์กีฬามาต่อเนื่องหลายปี

โดยก่อนหน้านี้เพิ่งมีการประกาศความร่วมมือกับทั้ง JAS และ บมจ. กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) คว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอลไทยครบทุกรายการ

ไล่ตั้งแต่ไทยลีก 1, ไทยลีก 2, ไทยลีก 3, ฟุตบอลถ้วยเอฟเอ คัพ (ไทย) และฟุตบอลลีก คัพ (ไทย) รวมถึงฟุตบอลลีกเยาวชน U-21, ฟุตบอลหญิงลีก 1 และ 2 ให้รับชมกันผ่าน AIS Play แบบไม่ต้องสมัครสมาชิก

นอกจากนี้ยังเป็นพันธมิตรกับ beIN SPORTS สถานีกีฬาระดับโลกจากประเทศกาตาร์ ซึ่งมีลิขสิทธิ์รายการกีฬาระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก, ยูเอฟา ยูโรปา ลีก, ยูเอฟา ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก, ฟุตบอลลาลีกา สเปน และช่องของ 3 สโมสรที่มีฐานแฟนฟุตบอลมหาศาลอย่าง LFCTV (ลิเวอร์พูล), MUTV (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) และ Real Madrid TV (เรอัล มาดริด)

ไปจนถึงกีฬาขวัญใจ Gen Z อย่าง รถแข่งฟอร์มูลาวัน และเทนนิสระดับแกรนด์สแลมของโลกอย่าง ออสเตรเลียน โอเพน และเฟรนช์ โอเพน รวมถึงการแข่งขันเอทีพี ทัวร์รายการต่างๆ 

และล่าสุดคือ NBA บน Prime Video ช่อง EuroSport และกอล์ฟ LPGA ซึ่งมีโปรกอล์ฟหญิงชาวไทยสร้างชื่อเป็นสตาร์โด่งดังที่มีแฟนรอติดตามอย่างมากมาย 

โดยไม่นับรายการที่มีนักกีฬาไทยลงแข่งขันอย่าง วอลเล่ย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก, กีฬาซีเกมส์ (ซึ่งปีนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ) และก่อนหน้านี้ก็เคยถ่ายทอดสดทั้งเอเชียน เกมส์ รวมถึงกีฬาโอลิมปิกด้วย

การได้พรีเมียร์ลีก และเอฟเอ คัพ มาจึงน่าจะเป็นการตอกย้ำว่า ณ เวลานี้ AIS Play คือ “สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุด” ของคนไทย

หรือในคำของทรูวิชั่นส์ที่ใช้มาอย่างยาวนานคือ “The King of Sports” ได้เปลี่ยนมือมาอยู่กับพวกเขาแล้ว

ไพ่ที่เหลืออยู่ของทรูวิชั่นส์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการสูญเสียลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไปส่งผลกระทบต่อทรูวิชั่นส์อย่างหนักหน่วง เพราะเสียรายการกีฬาที่เป็น “แม่เหล็ก” ไป

แต่ไม่ได้หมายความว่าทรูวิชั่นส์ไม่เหลือไพ่อะไรเลยในมือ

คอนเทนต์กีฬาระดับโลกที่เหลืออยู่ของทรูวิชั่นส์ ที่พอจะเชิดหน้าชูตาได้คือศึกอเมริกันฟุตบอล NFL อเมริกันเกมส์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด และในช่วงหลายปีที่ผ่านมากำลังสร้างปรากฏการณ์ในการบุกสร้างฐานแฟนใหม่ทั่วโลกด้วยการเดินสายไปแข่งตามเมืองต่างๆ

อีกหนึ่งกีฬายอดนิยมคือบาสเก็ตบอล NBA ที่ยังมีให้ชมผ่าน NBA TV ซึ่งถือเป็นช่องหลักของรายการยัดห่วงอันดับหนึ่งของโลกที่มีแฟนติดตามเป็นจำนวนมาก

รองลงมาคือลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก “โมโตจีพี” ประจำปี 2025 (MotoGP 2025) ซึ่งในปีนี้ทรูวิชั่นส์ไม่ปล่อยให้พันธมิตรได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดไปร่วมถ่ายด้วยเหมือนปีก่อนๆ โดยอาจมองได้ว่าเป็นกลยุทธ์ในการดึงแฟนโมโตจีพีให้เข้ามาสู่แพลตฟอร์ม

นอกจากนั้นคือกอล์ฟ พีจีเอ ทัวร์ 2025, การแข่งขันสนุกเกอร์ Wolrd Snooker Championship 2025, UFC Fight Night ที่เป็นลิขสิทธิ์แบบ Exclusive

สำหรับแฟนกีฬาไทยยังติดตามแบดมินตัน BWF เวิลด์ ทัวร์ 2025 ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแฟนรอติดตามชมนักแบดขวัญใจคนไทยอย่าง “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์,​ “เมย์” รัชนก อินทนนท์ และอีกหลายคนในทุกสัปดาห์

ส่วนที่เหลือคือคอนเทนต์จากพาร์ทเนอร์อย่าง beIN SPORTS ที่เลือกซื้อแพ็คเกจชมบนแพลตฟอร์มของ TrueVisions Now ได้เช่นเดียวกับบน AIS Play และช่องกีฬารองอย่าง SPOTV จากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งถือลิขสิทธิ์กีฬาบางรายการ เช่น ซาอุดีโปรลีก

เพียงแต่ต้องยอมรับว่าเวลานี้พวกเขาเป็นรอง AIS Play แล้ว และสิ่งที่น่าสนใจหลังจากนี้คือทรูวิชั่นส์ในฐานะผู้นำเดิมที่เคยเป็นผู้นำมาตลอดจะวางเกมในภาษาฟุตบอลคือการ “ตั้งรับ” และหาทาง “สวนกลับ”​ อย่างไรในช่วงระยะเวลา 6 ปีนับจากนี้

 

Here We Go!

อย่างไรก็ดีการรวบรวมคอนเทนต์กีฬาเอาไว้มากมายนั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

สิ่งที่ AIS Play ต้องพิสูจน์คือการช่วงชิงลูกค้ามาให้ได้มากที่สุด และนั่นนำไปสู่การเปิดเกมเพรสซิ่งคู่แข่งอย่างทรูวิชั่นส์ด้วยแพ็คเกจเด็ดที่คอบอลจำนวนมากให้ความสนใจในทันทีอย่างแพ็คเกจสำหรับลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม, เปิดเบอร์ใหม่ หรือเปลี่ยนจากเติมเงินเป็นรายเดือน โดยจ่ายเพียงแค่ 699 บาทต่อเดือน รับสิทธิ์ในการชมคอนเทนต์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฟรีตลอดฤดูกาลบน AIS Play

ถึงแม้ว่าแพ็คเกจนี้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้างที่จำนวนปริมาณอินเตอร์เน็ตที่ใช้งานได้สูงสุดเพียง 45 GB ต่อเดือนแต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว และช่วยให้ตัดสินใจย้ายค่ายอย่างง่ายดาย

เปรียบแล้วไม่ต่างจากนักฟุตบอลเวลาย้ายเข้าทีมคู่แข่ง

ขณะที่ลูกค้า AIS เดิมไม่ต้องคิดอะไรมาก สามารถสมัครในช่วง Early bird ในราคาที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ 199 บาทต่อเดือน (จากปกติ 299 บาท) หรือ 1,999 บาทต่อเดือน (จากปกติ 2,999 บาท) ก็สามารถรับชมได้เช่นเดียวกัน

คอมเมนต์จากแฟนกีฬาจำนวนมากบนโลกโซเชียลจึงแทบจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหลังเห็นราคาที่ออกมา เรียกว่ากระแสตอบรับถือว่าดีพอสมควรจากราคาที่เปิดมา ซึ่งแตกต่างจากทรูวิชั่นส์ที่โดนถล่มอย่างหนักในปีที่แล้วจากราคาที่สูงจนเอื้อมไม่ถึงเพราะขึ้นจากเดิม 2 เท่าตัว

แบบนี้ก็ Here We Go! สมัครเลยไม่ต้องรอ 48 ชั่วโมงแล้ว! (มุกนี้คอบอลจะเข้าใจ)

 

พรีเมียร์ลีก จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย

การเติมพรีเมียร์ลีกเข้ามาไม่ได้มีเป้าหมายแค่การทำให้เป็น AIS Play เป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนใหญ่ที่มุ่งหวังให้ AIS Play เป็นศูนย์กลางความบันเทิงครบวงจรและใหญ่ที่สุด (The Largest Entertainment Hub) ในประเทศไทยด้วย

เรื่องนี้มีคำตอบผ่านแพ็คเกจสุดยอด Play Ultimate ที่แม้จะต้องจ่ายในราคาที่สูงถึง 1,499 บาทต่อเดือน แต่สามารถรับชมคอนเทนต์ทั้งกีฬาและบันเทิงได้ครบถ้วนทั้งหมด เพราะจะรวมถึงพาร์ทเนอร์อย่าง Netflix, MAX, Disney+Hotstar, IQiYi, VIU, WeTV, Prime, beIN SPORTS, NBA on Prime Video

เรียกว่าแทบไม่ต้องละสายตาจากหน้าจอเลย ซึ่งชวนให้คิดถึงแพ็คเกจแบบ Platinum ของทรูวิชั่นส์ในอดีตที่ตอบโจทย์สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกที่มีความสนใจหลากหลาย สามารถสมัครแพ็คเกจเดียวดูได้ครบทุกอย่าง ซึ่งบน AIS Play ยังมีรายการข่าว, สารคดี, ดนตรี และอื่นๆอีกมากมาย รวมแล้วกว่า 132 ช่อง กับอีก 12 แอปสตรีมมิง

โดยพาร์ทเนอร์เหล่านี้มาจากแผนการเดินหน้าความร่วมมือกับสตรีมมิงแพลตฟอร์มระดับโลกที่ทำมาต่อเนื่องหลายปี เพราะรู้เทรนด์ของโลกว่าบางครั้งการถือลิขสิทธิ์แบบ Exclusive จ่ายแพงคนเดียวอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป การจับมือกับพาร์ทเนอร์ ซึ่งรวมถึง Mono Max จาก JAS จนได้พรีเมียร์ลีกมาก็เป็นหนึ่งในความสำเร็จของแผนนี้เช่นกัน

ขณะเดียวกันพรีเมียร์ลีกยังเป็นแม่เหล็กอย่างดีในการดึงลูกค้ามาใช้บริการอื่นอย่างบริการอินเตอร์เน็ตบ้าน AIS 3BB Fibre3 ที่น่าดึงดูดใจไม่แพ้กันสำหรับลูกค้าใหม่ที่จ่าย 699 บาทต่อเดือน นอกจากจะได้ใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 500/500 Mbps ยังได้ชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฟรีตลอดฤดูกาลด้วย

และอีกกลุ่มคือร้านอาหารและผับบาร์ที่มีแพ็คเกจ Pub, Bar & Restaurant ที่ใช้ AIS 3BB Fibre3 ในความเร็ว 1 Gbps/1Gbps ในราคา 2,800 บาทต่อเดือนแลกกับการได้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกรวมถึงคอนเทนต์อื่นบน AIS Play และ Mono Max ในร้านหรือผับบาร์ได้

เรียกได้ว่าเวลานี้จิ๊กซอว์ทั้งหมดได้ถูกประกอบครบเรียบร้อยแล้วเป็นภาพใหญ่ภาพเดียวครบวงจร

และในฐานะของผู้ให้บริการคอนเทนต์กีฬา พวกเขาคือ “เบอร์หนึ่ง” เรียบร้อย

แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากเกมกีฬา ที่แม้ว่าการคว้าแชมป์จะเป็นเรื่องที่ยากแล้ว การป้องกันแชมป์เป็นเรื่องที่ยากกว่า

สำหรับ AIS Play มีบททดสอบและสิ่งที่ต้องเผชิญในอนาคต ตั้งแต่การรับมือกับความคาดหวังของลูกค้า ไปจนถึงต่อสู้กับศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดอย่างการละเมิดลิขสิทธิ์ (Piracy)

ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นความท้าทายที่แสนเต็มใจ

 

        

อ้างอิง

premierleague

sportca