เอสเอ็มอี-รายย่อย ‘จมหนี้เสีย’ ‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ซ้ำเติมเศรษฐกิจ

“ประเด็นหนี้เสีย” ยังเป็นปัจจัยที่น่าห่วงต่อเนื่อง ด้าน “แบงก์ชาติ” ส่งสัญญาณ “หนี้เสีย” ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ ห่วงรายย่อย เอสเอ็มอีหนี้เสียยังเพิ่มขึ้น
KEY
POINTS
- เปิดภาพรวมสถานการณ์ 'หนี้เสีย' ธปท. รับแนวโน้มคุณภาพหนี้ 'แย่ลง' แม้ระบบโดยรวมยังมีเสถียรภาพ
- กลุ่ม SME และรายย่อยเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง หนี้เสียของ SME เพิ่มขึ้นในเกือบทุกเซกเตอร์ โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยได้รับความช่วยเหลือมาแล้ว
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ ลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้วยังกลับมาเป็น NPL อีกครั้ง สะท้อนผ่านยอด Re-entry NPL) มีจำนวนมาก ทั้งรายย่อย-ธุรกิจ
- เครดิตบูโร ชี้แม้ไตรมาสแรก หนี้เสียจะไม่ขยับ แต่ยอดปรับโครงสร้างหนี้พุ่ง สะท้อนว่าลูกหนี้เริ่ม “ผ่อนต่อไม่ไหว”
- ด้าน TDRI ห่วงหนี้เป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจไทย ทั้งหนี้รัฐ หนี้ครัวเรือน และหนี้ SME
- แนวโน้มหนี้ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนความล้มเหลวในการแก้หนี้หลังโควิด
สถานการณ์ “หนี้” ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และยังเป็นปัญหาที่กัดกร่อนเศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า โดยหากมองภาพ “หนี้เสีย” ในระยะข้างหน้า หลายฝ่ายยังคง “กังวล” เพราะแนวโน้มยังเป็นภาพของการ “ไหลต่อเนื่องของหนี้เสีย”
จากการแถลงข่าวของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุด แม้มองว่าเสถียรภาพโดยรวมของระบบยังมีเสถียรภาพ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับ “คุณภาพสินเชื่อ” โดยเฉพาะแนวโน้มในระยะข้างหน้า
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ฉายภาพให้เห็นถึง สถานการณ์ “หนี้” ในระยะข้างหน้าที่ธปท.มองว่า ยังคงมีแนวโน้มที่จะ “แย่ลง” แต่ระดับความแย่ลงจะมากน้อยเพียงใดนั้นยังมีความไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ผลการเจรจาการค้าโลก และความสามารถในการปรับตัวของภาคธุรกิจ
โดยกลุ่มที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือกลุ่มรายย่อย และกลุ่ม SME ขนาดเล็กโดยเฉพาะสินเชื่อ SME รายย่อย แม้ภาพรวมสินเชื่อ SME ในภาพรวมอาจมีการปรับลดลงบ้าง แต่กลุ่มย่อยนี้ยังน่าห่วง
สอดคล้องกับตัวเลข NPL Ratio หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในไตรมาสแรกปีนี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.9% จาก 2.78% โดยเป็นการเพิ่มทั้งผลจากทั้งปริมาณ NPL ที่เพิ่มขึ้นและปริมาณสินเชื่อโดยรวมที่หดตัว
โดยหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อธุรกิจ SME ที่ปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกเซกเตอร์ และพบว่า NPL รายใหม่ในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เคยได้รับความช่วยเหลือมาแล้ว
นอกจากนี้ หากดูบัญชีลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านการปรับโครงสร้างหนี้สะสมในช่วง 3 เดือนแรกถึง 1.5 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้ราว 8 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ SME เป็นหลักปริมาณการช่วยเหลือนี้ถือว่ามากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา
ยอดปรับโครงสร้างหนี้รายย่อย-ธุรกิจพุ่ง
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า สถานการณ์หนี้ ถือว่าเป็นปัจจัยที่น่ากังวลต่อเนื่อง ทั้งในพอร์ตรายย่อย และธุรกิจ เพราะหากดู หนี้เสีย และยอด SM ของรายย่อยพบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นทั้งคู่ แม้ว่าในช่วงปลายปีที่แล้วจะเคยลดลง แต่ก็กลับมาเพิ่มขึ้นใหม่แล้วในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งสะท้อนว่าลูกหนี้มีปัญหาในการชำระหนี้คืนมากขึ้น
โดยหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เคยปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วแต่กลับมาเป็นหนี้เสียอีกครั้ง (Re-entry NPL)โดยในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาหนี้เสียรายย่อยที่ Re-entry NPL อยู่ที่ประมาณ 10,357 ล้านบาท และหนี้เสียธุรกิจที่เป็น Re-entry NPL อยู่ที่ประมาณ 19,602 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับพอร์ตหนี้รายย่อยที่เคยปรับโครงสร้างภายใน 1 ปีที่ผ่านมา ราวประมาณ 33,000 ล้านบาทสัดส่วน Re-entry NPL คิดเป็นประมาณ 31% สำหรับพอร์ตธุรกิจที่เคยปรับโครงสร้างภายใน 1 ปีที่ผ่านมา ประมาณ 61,000 ล้านบาท สัดส่วน Re-entry NPL คิดเป็นประมาณ 32%
“เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การปรับโครงสร้างหนี้อาจช่วยลูกหนี้ได้ในระดับหนึ่ง แต่การแก้ปัญหาหนี้เสียอย่างแท้จริงต้องอาศัยรายได้ของลูกหนี้ ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจยังไม่ดี กระทบความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ปัญหาหนี้แก้ได้ยาก เพราะมักจะเจอหลายเรื่องพร้อมๆกัน และบางรายอาจเคยปรับโครงสร้างหนี้มาแล้วแต่ยังไปไม่รอดหรือยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถึงที่สุด”
เขื่อนยักษ์ทะลักป้อง “หนี้เสีย” พุ่ง
ด้าน “เครดิตบูโร” มองว่า หนี้ครัวเรือนไทยวันนี้ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ เกิน 16 ล้านล้านบาท แม้ตัวเลขจะไม่ได้ขยับโตขึ้นมาก ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา จากยอดสินเชื่อใหม่ไม่เติบโต แต่ภาระหนี้ของคนยังคงเพิ่มขึ้น
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวว่าภายใต้หนี้ครัวเรือนทั้งหมด ข้อมูลในระบบของเครดิตบูโรมีอยู่ประมาณ 13.5 ล้านล้านบาทในจำนวนนี้เป็นหนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 1.19 ล้านล้านบาท และมีถึง 1.7 แสนล้านบาทที่กลายเป็นหนี้เสียจากผลกระทบของโควิด-19
นอกจากนี้ ยังมีหนี้อีกสองกลุ่มใหญ่ที่น่ากังวล คือ หนี้ที่เคยเป็น NPL และถูกปรับโครงสร้างหนี้แล้วหลังเป็นหนี้เสียซึ่งมีจำนวนประมาณ 1 ล้านล้านบาท และหนี้ที่เริ่มมีสัญญาณค้างชำระ (SM) ปัจจุบันอยู่ที่ 5.7 แสนบัญชี ลดลงจากอดีตที่เคยสูงสุด 6.5 แสนบัญชี
ทั้งนี้จากข้อมูลหนี้เสีย 1.19 ล้านล้านบาท พบว่ามีลูกหนี้ที่เป็น NPL อยู่ประมาณ 5 ล้านกว่าคน หรือคิดเป็น 5,140,000 คน ซึ่งตัวเลขนี้คิดเป็นกว่า 10% ของแรงงานไทยทั้งหมด ในจำนวน 5.14 ล้านคนนี้ มี 3.3 ล้านคน มีหนี้เสียไม่เกิน 1 แสนบาทมูลค่าหนี้รวมของกลุ่มนี้อยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท คิดเป็น 10% ของหนี้เสียทั้งหมด และประมาณ 8 หมื่นล้านบาทอยู่ในมือของ Non-bank
และเชื่อว่าในกลุ่มลูกหนี้ 3.3 ล้านคนนี้ มีอย่างน้อยเป็นล้านคนที่เป็นหนี้นอกระบบ และหากดูลูกหนี้ NPL ที่เหลืออีกกว่า 2 ล้านคนซึ่งมีหนี้มากกว่า 1 แสนบาท
ที่กลุ่มนี้อาจต้องการมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ที่แตกต่างไป ดังนั้นมองว่าการแก้ปัญหาหนี้เสีย 5 ล้านคนนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน และเป็นสิ่งจำเป็นในการ “รีไซเคิล” หนี้ครัวเรือนภายในระบบให้สอดคล้องกับศักยภาพการชำระหนี้ที่แท้จริงของลูกหนี้ ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่น่าสนใจคือ หนี้SM จำนวนมากได้ถูกผลักดันเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (DR - Debt Restructuring) ตามหลักเกณฑ์ Responsible Lending ทำให้ยอดหนี้ในกลุ่ม DR นี้พุ่งทะลุ 1.1 ล้านล้านบาท ณ เดือนเมษายน 2567 เพิ่มสูงถึง 31.7% เหล่านี้สะท้อนได้ว่า คนเป็นหนี้ไปไม่ไหวผ่อนติดขัดมากขึ้น จึงทำให้ “เขื่อนยักษ์” DR ยกสูงขึ้นกั้นการไหลมาเป็น NPL
“ทีดีอาร์ไอ” ห่วงหนี้กดดันเศรษฐกิจ
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า สถานการณ์หนี้สินของประเทศไทยกำลังเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ทั้งในระดับหนี้ภาครัฐ หนี้ครัวเรือน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้ภาคเอกชนในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งกำลังสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน
จากข้อมูลต่างๆพบว่าปัญหาหนี้ในประเทศไทยวันนี้มีคำถามและความห่วงใยมากมาย แม้บางส่วนอาจมองว่าหนี้ภาครัฐที่ 60% อาจจะยังไม่มากนักเมื่อเทียบกับหลายประเทศ แต่
ประเด็นที่น่าห่วงคือ “แนวโน้ม” หนี้มีการปรับตัวสูงขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา และมองไปข้างหน้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอีกในอัตราที่เร็ว หนี้ภาครัฐน่าห่วงอยู่แล้ว ส่วนหนี้ครัวเรือนนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะน่าห่วงอย่างแน่นอน
สำหรับหนี้ภาคเอกชนนั้น ต้องแยกพิจารณาเป็นรายกรณี ธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่ต้องกังวลเท่าใดนัก เพราะมีเงินสดอยู่ในมือ และบางส่วนยังออกไปลงทุนในต่างประเทศด้วยซ้ำ แต่ธุรกิจขนาดเล็ก คือกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุด ยิ่ง เศรษฐกิจไทยต้องขับเคลื่อนและผลักดันด้วยธุรกิจขนาดเล็กในระดับรากฐาน การพึ่งพาธุรกิจขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ เพราะธุรกิจขนาดใหญ่มักจะไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างจีดีพีของไทย
ดังนั้น โดยรวมแล้ว ปัญหาหนี้สินนี้กำลังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีดีพีโดยรวมลดลงทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงรวมถึงส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในหลายๆ ด้าน
“แนวโน้มในอีก 5-10 ปีข้างหน้า คาดว่าหนี้จะยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง หนี้ปรับขึ้นเล็กน้อยและนิ่งไปพักหนึ่ง แต่กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งเมื่อเจอสถานการณ์โควิด-19 และผลกระทบต่างๆดังนั้นเราจำเป็นต้องทำปฏิรูปทุกเรื่องอย่างจริงจัง”







