อ่านเกมเพรสซิง ‘MONOMAX' ดูพรีเมียร์ลีกเดือนละ 300 บาท (นิดๆ) ถูกใจคนไทยหรือยัง?

อ่านเกมเพรสซิง ‘MONOMAX' ดูพรีเมียร์ลีกเดือนละ 300 บาท (นิดๆ) ถูกใจคนไทยหรือยัง?

เผลอไผลใจแค่ไม่นาน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เหลืออีกแค่เพียงเดือนเดียวเท่านั้นลีกยอดนิยมอันดับหนึ่งของโลกกำลังจะรูดม่านปิดฉลากลงอีกแล้ว

KEY

POINTS

Key points

  • ล่าสุดทางด้าน ดร.โสรัชย์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการพ็อดคาสต์ของสถานีโทรทัศน์ PPTV โดยแย้มว่าราคาน่าจะถูกลงกว่าเดิมอยู่ที่เดือนละ “300 ต้นๆ” เท่านั้น
  • หากสมมติว่าค่าชมอยู่ที่เดือนละ 300-349 บาท จะชมตลอดฤดูกาลจะใช้เงินเท่าไร? คำตอบคือจะตกที่ฤดูกาลละ 3,000-3,490 บาท ซึ่งตัวเลขนี้อาจจะไม่ได้ต่ำเท่ากับที่ True เคยทำไว้ในช่วง 2-3 ฤดูกาลก่อน
  • ความท้าทายที่สุดสำหรับ JAS นั้นอยู่ที่เรื่องของการพยายามเอาชนะช่องทางรับชมแบบเถื่อน หรือที่แฟนบอลชาวไทยมักจะเรียกกันว่า “ช่องทางธรรมชาติ” ทั้งๆที่ความจริงแล้วการรับชมผิดกฎหมายนั้นมันควรจะถูกเรียกว่า “ช่องทางผิดธรรมชาติ”
  • นอกจากเรื่องของราคาที่บางคนก็เฉยๆกับตัวเลข “300 ต้นๆ” ยังมีเรื่องของคุณภาพของการถ่ายทอดสดและปัญหาทางเทคนิคต่างๆด้วยที่แฟนบอลเป็นกังวล

ทีมไหนกำลังจะได้แชมป์ ทีมไหนจะได้ไปรายการสโมสรยุโรป และทีมไหนต้องกระเด็นตกชั้นไปบ้างเชื่อว่าคนที่ติดตามชมเกมฟุตบอลมาโดยตลอดคงจะพอทราบกันดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่คอบอลชาวไทยหลายคนรอจับตาดูอยู่คือเรื่องของการ “เปลี่ยนมือ” เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดในประเทศไทย

อย่างที่ทราบมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า บ. จัสมิน อินเตอร์เนชันแนล จำกัด (มหาชน) หรือ “JAS” ผ้ให้บริการอินเตอร์เน็ต 3BB, ช่องดิจิทัลทีวี Mono 29 และแพลตฟอร์มสตรีมมิงความบันเทิง MONOMAX  สามารถเอาชนะ True เจ้าของลิขสิทธิ์เดิมและเป็นจ้าวตลาดมายาวนานหลายสิบปีได้ในการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกรอบใหม่ที่พ่วงรายการฟุตบอลเอฟเอ คัพด้วย ใน 3 ประเทศได้แก่ ไทย, ลาว และกัมพูชา

สัญญานั้นมีระยะเวลายาวถึง 6 ปีเต็ม (2025-2031) หรือเทียบเท่ากับการประมูลปกติ 2 รอบในมูลค่ารวม 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ฟังดูแล้วน่าตกใจ

ในเวลานั้นทางด้าน ดร.โสรัชย์ อัศวประภา ให้คำมั่นกับคอบอลชาวไทยว่าค่าชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแบบถูกต้องตามกฎหมายจะมีราคาไม่สูงมาก ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยตัวเลขกลมๆในเวลานั้นเปิดกันไว้ที่ “เดือนละ 400 บาท”

แต่ล่าสุดมีการ “หลุด”​ ออกมาแล้วว่าตัวเลขนั้นอาจจะต่ำกว่านั้นอีก อยู่แค่เพียง 300 บาทนิดๆ

นิดแค่ไหนยังไม่รู้ แต่น่าสนใจว่าการเดิมพันด้วยการตั้งราคาครั้งนี้จะเอาชนะใจคอบอลไทยได้จริงหรือไม่?

สัญญาเมื่อสายัณห์

 บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ภายหลังจากที่ JAS ได้รับชัยชนะในการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเจ้าใหม่ หนึ่งในคำพูดสำคัญจากทาง ดร.โสรัชย์ อัศวประภา หรือ “พี่น้อย” ของสื่อในวงการฟุตบอลที่ออกมาคือเรื่องของราคา

ราคาจะต้องไม่แพงกว่าในปัจจุบันและจะพยายามทำให้ต่ำที่สุด “ไม่เกิน 400 บาท”

ตัวเลข 400 บาทที่ออกมาในเวลานั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ “คีย์แมสเซจ” แต่ยังเป็น “คำมั่น” ที่หลายฝ่ายรอจับตาว่าจะเป็นไปได้จริงหรือไม่

เพราะหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อ “True Visions” เจ้าของลิขสิทธิ์เดิมที่ครอบครองมาอย่างยาวนานนั้นคือเรื่องของราคาที่กระโดดขึ้นอย่างพุ่งพรวดในปีสุดท้ายของรอบสัญญา จนทำให้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากแฟนฟุตบอลที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมที่สมัครใช้บริการต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน

แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในชาติที่ชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ได้ถูก (อาจจะไม่ที่สุด) ของโลกแล้ว แต่การขยับราคาขึ้นเกือบ 2 เท่าจากเดิม ส่งผลกระทบต่อยอดสมาชิกผู้สมัครใช้บริการ

การรับชมอย่างมาก ไม่รวมถึงการ “ตัดขา” กันเองภายในกลุ่มทรู เพราะมีทั้ง TrueID ที่เป็นช่องทางหลักเดิม และ TrueVisions Now ที่เป็นช่องทางใหม่ซึ่งการสมัคร ไปจนถึงการทำโปรโมชั่นแยกกันอย่างสิ้นเชิง จนทำให้เกิดความสับสนของผู้ที่อยากสมัครใช้บริการ แต่ดูเหมือนว่า ดร.โสรัชย์ และ JAS อาจจะทำได้ดีกว่าคำมั่นที่เคยให้ไว้

ฤดูกาลฝันร้ายของ True

สำหรับฤดูกาลที่ผ่านมา แฟนฟุตบอลพรีเมียร์ลีกต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ (ในทางลบ) กับการตั้งราคาของ True ที่ทำร้ายจิตใจคอลูกหนังอังกฤษมากจนเกินไป

เพราะจากที่เคยชมกันในรายฤดูกาล (Season pass) ละ 2,500-3,000 บาท ขยับขึ้นมาเป็นปีละ 5,990 บาท หรือ 5,490 บาทสำหรับผู้ใช้บริการ True Move H และ Dtac ที่ต้องตัดสินใจซื้อในช่วง Early bird หรือช่วงก่อนราคาปกติ

หรือหากจะจ่ายเป็นรายเดือนจะตกที่เดือนละ 599 บาท ซึ่งหากจะชมตลอดทั้งฤดูกาลเป็นเวลา 10 เดือนก็จะต้องจ่ายกันมากถึง 5,990 บาท เท่ากับ Season pass อยู่ดี

แม้ว่าทางด้าน True จะมีสิทธิพิเศษมอบให้เพิ่มเติมเช่น การได้แพ็คเกจชม TrueVisions Now Lite ด้วยแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แฟนฟุตบอลต้องการ โดยเฉพาะสำหรับแฟนบอลที่เคยจ่ายน้อยกว่านี้ครึ่งนึง และเคยมีสิทธิพิเศษอื่นๆจากโปรโมชั่นที่เคยจัดไว้ดี เช่น Unlock ให้เลือกชมทีมโปรดได้สัปดาห์ละ 1 แมตช์สำหรับคนที่เป็นลูกค้าที่ใช้บริการในเครือ True อยู่เดิม

เปรียบเทียบง่ายๆเหมือนคนที่เคยกินข้าวในราคาถูก จู่ๆวันนึงป้าร้านข้าวตามสั่งก็บอกกะเพราหมูกรอบราคาแพงกว่าเดิม 2 เท่า ต่อให้รักหมูกรอบแค่ไหนก็ไม่ใช่ทุกคนจะกลั้นใจสั่งได้

พรีเมียร์ลีกเดือนละ 300 บาท ถูกพอหรือยัง?

ล่าสุดทางด้าน ดร.โสรัชย์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการพ็อดคาสต์ของสถานีโทรทัศน์ PPTV โดยแย้มกับทางพิธีกร “นิหน่า” สุธิตา เรืองรองหิรัญญา ที่ยิงคำถามแทนใจแฟนฟุตบอลาวไทยทั่วประเทศว่า สนนราคาค่าชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลหน้าอยู่ที่เท่าไร

คำตอบของบิ๊กบอสแห่ง JAS ฟังแล้วระรื่นหูอยู่ในทีเพราะน่าจะถูกลงกว่าเดิมอยู่ที่เดือนละ “300 ต้นๆ” เท่านั้น สำหรับการออกอากาศทางช่องทางหลักอย่าง MONOMAX แพลตฟอร์มสตรีมมิงในเครือของ JAS ที่จะเป็นโต้โผหลักสำหรับการถ่ายทอดสดทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาล

แม้ว่าตัวเลขนี้จะไม่ต่ำเท่ากับที่ก่อนหน้านี้เคยมี “วงใน” บอกว่าตัวเลขอาจจะไม่ทะลุ 200 บาท (ซึ่งเป็นราคาที่ดีมาก) และถึงแม้ว่ายังไม่มีใครรู้ว่า 300 ต้นๆ หรือนิดๆที่ว่านั้นจะอยู่ที่เท่าไรกันแน่ จะถึง 350 บาทต่อเดือนไหม

แต่ในเบื้องต้นก็ถือเป็นข่าวดีที่ราคาที่ต้องจ่ายในยุคข้าวยากหมากแพงและสำหรับหลายคนมีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับสารพันความบันเทิงและความรู้มากมายไม่ได้สูงจนเกินไปนักโดยเฉพาะหากนำมาเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายในปัจจุบัน ซึ่งตัวเลขอาจจะต่ำกว่าเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

ถามว่าเป็นตัวเลขที่ถูกพอหรือยัง ต้องบอกว่าคำว่าถูกสำหรับแต่ละคนไม่เท่ากัน และไม่ได้วัดกันที่เงินในกระเป๋าหรือบัญชีเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงเรื่องของความรู้สึกด้วย

อ่านเกมพรีเมียร์ลีกบน MONOMAX

จากคำบอกใบ้เรื่อง ราคาพรีเมียร์ลีก MONOMAX นั้นหากสมมติว่าค่าชมอยู่ที่เดือนละ 300-349 บาท จะชมตลอดฤดูกาลจะใช้เงินเท่าไร?

คำตอบคือจะตกที่ฤดูกาลละ 3,000-3,490 บาท

ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่อาจจะไม่ได้ต่ำเท่ากับที่ True เคยทำไว้ในช่วง 2-3 ฤดูกาลก่อน และหากคิดถึงเงื่อนไขในการรับชมของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลปัจจุบันที่แม้จะต้องจ่ายเงินถึง 5,490 บาท แต่สามารถรับชมได้ 2 จอพร้อมกันแล้ว หารกันแล้วจะตกที่ 2,745 บาท ซึ่งยังต่ำกว่าตัวเลขประมาณการอยู่ดี

ตรงนี้ต้องรอติดตามกันอีกครั้งว่า MONOMAX จะมีการทำการตลาดอย่างไรบ้าง ที่อาจจะทำราคาให้ต่ำลงไปอีก เช่น

  • แพ็คเกจรายปี พร้อมรับชมคอนเทนต์ทุกอย่างของ MONOMAX
  • แพ็คเกจรายฤดูกาล (10 เดือน) พร้อมรับชมคอนเทนต์ทุกอย่างของ MONOMAX
  • ผนึกกำลังกับพันธมิตรชิดใกล้อย่าง AIS ให้ราคาที่ต่ำลงไปอีก
  • รับชมได้ 2 อุปกรณ์พร้อมกัน

เพราะในปัจจุบัน MONOMAX มีแพ็คเกจให้รับชม 2 ตัวเลือกด้วยกัน

  • แบบ “มินิ” รายปี 699 บาท (รายเดือน 99 บาท) รับชมพร้อมกัน 1 อุปกรณ์ ความคมชัดในระดับ Full HD
  • แบบ “จัมโบ้” รายปี 1,699 บาท (รายเดือน 250 บาท) รับชมพร้อมกัน 3 อุปกรณ์ ความคมชัดในระดับ Full HD

 

นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับพันธมิตรอีก ไม่ว่าจะเป็น AIS ที่หากเป็นลูกค้า AIS มีสิทธิ์รับชมฟรี 6 เดือน รวมถึงยังมีราคาพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงไทย (KTC) หรือแม้แต่ลูกค้า Truemove H และ Dtac ด้วย ประเมินเบื้องต้นมีโอกาสที่ราคาเฉลี่ยอาจจะต่ำกว่าเดือนละ 300 บาทได้

โดยที่คอนเทนต์เดิมของ MONOMAX คือหนังและซีรีส์ ที่มองในเรื่องของความหลากหลายอาจจะไม่เท่ากับบริการของ True ซึ่งเป็นช่องรายการต่างๆรวมถึงดิจิทัลทีวีให้รับชมด้วย ซึ่งก็เป็นหนึ่งในความท้าทายด้านการคัดสรรค์คอนเทนต์คุณภาพมาเสิร์ฟให้แก่ผู้ชม

 

สกัดช่องทางผิดธรรมชาติ

แต่ความท้าทายที่สุดสำหรับ JAS นั้นอยู่ที่เรื่องของการพยายามเอาชนะช่องทางรับชมแบบเถื่อน หรือที่แฟนบอลชาวไทยมักจะเรียกกันว่า “ช่องทางธรรมชาติ” ทั้งๆที่ความจริงแล้วการรับชมผิดกฎหมายนั้นมันควรจะถูกเรียกว่า “ช่องทางผิดธรรมชาติ”

ช่องทางธรรมชาติคือช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นช่องทางของเจ้าของลิขสิทธิ์ แบบนี้ถึงจะถูกต้อง

ปัญหาเรื่องการรับชมแบบเถื่อนนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ให้บริการทั่วโลกเพราะปราบกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไรก็ไม่สามารถจัดการให้สิ้นซากได้เสียที ซึ่งแน่นอนว่า

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเองก็มีช่องทางเถื่อนมากมายที่ว่ากันตามตรงก็หากันได้ไม่ยากนัก และมูลค่าความเสียหายนั้นมากมายมหาศาล

ความเจ็บปวดคือบางครั้งช่องทางผิดกฎหมายเหล่านี้ดันดูได้คมชัดและลื่นไหลกว่าช่องทางที่ถูกกฎหมายเสียอีก และหนักกว่านั้นคือบางครั้งช่องทางถูกลิขสิทธิ์ล่มดูไม่ได้ในเกมสำคัญที่มีผู้ชมพร้อมกันเป็นจำนวนมากก็มี

ตรงนี้ก็เป็นอีกความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับ ดร.โสรัชย์ และ MONOMAX ที่จะต้องฝึกซ้อมให้ดีก่อนจะลงสนามจริงในฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ 2025/26 ที่จะเริ่มต้นในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือน

เพราะจากความคิดเห็นของชาวเน็ตแล้ว นอกจากเรื่องของราคาที่บางคนก็เฉยๆกับตัวเลข “300 ต้นๆ” ยังมีเรื่องของคุณภาพของการถ่ายทอดสดและปัญหาทางเทคนิคต่างๆด้วย เช่น ความคมชัดสำหรับการชมบนอุปกรณ์ต่างๆ (ซึ่งมีรายละเอียดและข้อจำกัดแตกต่างกัน), เสียง, ทีมผู้บรรยาย, ความลื่นไหลในการรับชม

เรียกว่าไปทำระบบหลังบ้านมาให้ดีก่อน อย่าคิดถึงแต่การขาย

สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวพิสูจน์ว่าแฟนฟุตบอลจะเปิดใจต้อนรับ MONOMAX ที่หวังจะเข้ามาครองหัวใจคอบอลชาวไทยได้หรือไม่ เพราะเป้าหมายที่​ JAS คาดหวังไว้คือสมาชิก 3 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับตลาดในประเทศไทย

ถึงเวลาในสัญญาจะยาวถึง 6 ปี แต่เกมนี้ภาษาบอลแล้วถ้า MONOMAX อยากชนะต้องเดินเกมเร็วแบบ High-tempo เพรสซิงสูง กดให้อยู่ตั้งแต่ช่วงต้นเกม

ถ้าทำได้และยิงขึ้นนำได้ก่อนมีโอกาสชนะสูง!