วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก กังวลสหรัฐขึ้นภาษี

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก กังวลสหรัฐขึ้นภาษี

วันจันทร์ที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway Down หลุด 1,200 จุด ได้รับ Sentiment เชิงลบจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีของยูเครน ประสบความล้มเหลว

อีกทั้งนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า มีแรงขายมากในหุ้นกลุ่ม Big-Cap นำโดย อิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก และไอซีที ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,188.41 จุด -15.31 จุด -1.27% มูลค่าการซื้อขาย 45,012 ลบ. Program Trading -1,349.58 ลบ. ต่างชาติ -1,523.46 ลบ. TFEX +4,415 สัญญา ตราสารหนี้ -6,119.24 ลบ.

ปัจจัยบวก    

+ ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เปิดเผยว่าพร้อมพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ หากได้รับเชิญอีกครั้ง "เพื่อแก้ไขปัญหา ที่เป็นรูปธรรม" และเสริมว่ายูเครนพร้อมรับข้อตกลงด้านแร่ธาตุที่ถูกระงับไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
+ นายกรัฐมนตรีอังกฤษเปิดเผยว่า บรรดาผู้นำยุโรปตกลงที่จะร่างแผนสันติภาพสำหรับยูเครนเพื่อนำไปเสนอต่อสหรัฐอเมริกาเพื่อให้สหรัฐฯ สามารถให้การรับประกันความปลอดภัยแก่ยูเครน
+ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดีที่ 6 มี.ค. หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวสู่ 2.4% ในเดือนก.พ.
+ ธปท. เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน ก.พ.68 อยู่ที่ 48.9 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 48.5 ในเดือนม.ค.68 จากการเพิ่มขึ้นในเกือบทุกองค์ประกอบ โดยความเชื่อมั่นในภาคการผลิต ปรับเพิ่มขึ้นในเกือบทุกหมวดธุรกิจ

ปัจจัยลบ 

- ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 649.67 จุด หรือ -1.48% ขณะที่ดัชนี S&P500 ดิ่งลง เป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค. 2567 หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% จะมีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันอังคารที่ 4 มี.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอ ของภาคการผลิตสหรัฐฯ

 

- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.39 ดอลลาร์ หรือ -1.99% ปิดที่ 68.37 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่ากลุ่มประเทศโอเปคพลัสจะเดินหน้า เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย.ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโต ของเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก
- สหรัฐฯ เปิดเผยดัชนี PMI ภาคการผลิต ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.3 ในเดือนก.พ. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 50.6 จากระดับ 50.9 ในเดือนม.ค. โดยได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าของสหรัฐฯ
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยืนยันเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น สองเท่าสู่ระดับ 20% แต่ยังไม่ได้เปิดเผยว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับเมื่อใด
-หนังสือพิมพ์โกลบอล ไทม์ส รายงานว่า จีนกำลังพิจารณาการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหาร จากสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.2% ใน เดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนธ.ค.

แนวโน้มตลาดวันนี้    

คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาสปรับตัวลงในลักษณะ Sideway Down โดยมีแรงกดดันประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% จะมีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันอังคารที่ 4 มี.ค. มองกรอบดัชนี 1,180-1,195 จุด

 

 

กลยุทธ์การลงทุน    

• หุ้นได้ประโยชน์ Easy-E receipt : CRC COM7 ERW CENTEL MINT M AU TNP SIS SYNEX IP HL

• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกระแสซีรีส์ "The White Lotus" : WPH RP MINT CENTEL BA BAREIT
• หุ้นส่องออก ม.ค. เติบโตดี : STA NER GFPT AAI ITC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก กนง. ลดดอกเบี้ย : AP LH SIRI SC SPALI QH MTC TIDLOR

หุ้นรายงานพิเศษ

BEM ("ซื้อ" Bloomberg Consensus 11.00)
"กำไร 4Q67 หดตัว 1%YoY และหดตัว  20%QoQ"  

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก กังวลสหรัฐขึ้นภาษี

•รายงานกำไร 4Q67 ที่ 851 ลบ. -1%YoY และ -20%QoQ เนื่องจากไม่มีเงินปันผลรับเหมือนไตรมาสที่ก่อนหน้าราว 242 ลบ. ขณะที่รายได้จากทางด่วนหดตัว 1%QoQ แต่ทรงตัว YoY ที่ 2,253 ลบ. และรายได้จากระบบรางปรับตัวลง 1%QoQ แต่เติบโต 9%YoY สู่ 1,759 ลบ. เนื่องจากจำนวนการเดินทางด้วยระบบรางเพิ่มขึ้น 2%QoQ สู่ 445,600 เที่ยวต่อวันจากการเปิดตัวโครงการ One Bangkok และ Dusit Central Park ด้านอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.8% จาก 3Q67 สู่ 45.2% เนื่องจากธุรกิจระบบรางมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นตามจำนวนผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ รายงานกำไร 2567 ที่ 3.77 พันลบ. +8%YoY

•ผู้บริหารคาดปี 68 รายได้ธุรกิจระบบรางเติบโต 8-10% สู่ 550,000 เที่ยวต่อวันจากการเติบโต ของโครงการอสังหาฯ ที่พัฒนารอบเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทั้งโครงการ One Bangkok (คาดปี 68 จะเปิดสำนักงาน 3 แห่งจาก 5 แห่ง ร้านค้าปลีกเปิดครบทั้ง 3 แห่ง และ เปิดโรงแรม 2 แห่งจาก 5 แห่ง) และ Dusit Central Park ทั้งนี้ ด้านโครงการทางด่วน 2 ชั้น (Double Deck) วงเงิน 3.5 หมื่นลบ. อยู่ระหว่างส่งให้คณะกรรมการ PPP พิจารณา ซึ่งเมื่อผ่านจากคณะกรรมการฯ แล้วจะส่งต่อให้ครม.อนุมัติต่อไป

ความเห็น เรามุมมมอง Neutral ต่อผลประกอบการ 1Q68 จากเป็น Low Season ของการเดินทางเนื่องจากมีวันทำการน้อยกว่า ไตรมาสอื่นๆ อย่างไรก็ตามปี 68 เราคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตจากธุรกิจระบบรางที่มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการพัฒนาของพื้นที่รอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน อีกทั้งราคาหุ้นมี Upside อีกราว 71% เราจึงแนะนำ “ซื้อ”

หุ้นมีข่าว

(+) CPALL (Bloomberg Consensus 77.00 บาท) ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตแข็งแกร่งมุ่งรักษาการเติบโตของกำไรขั้นต้น สอดคล้อง GDP ที่โต 2.8% ตั้งเป้า SSSG ทั้งปีโต 2-3% เน้นขยายมาร์จิ้น วางงบ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ขยาย 700 สาขาในไทย เน้น Standalone ขนาดใหญ่ หวังกินยาวร่วมพันธมิตร ลุยกัมพูชา ราว 20-30 สาขา สปป.ลาว 3-5 สาขา แย้มไตรมาส 1/2568 ยอดเด้ง (ที่มา ทันหุ้น)

(+) PR9 (Bloomberg Consensus 30.00 บาท) ตั้งเป้ารายได้รวมโตไม่ต่ำกว่า 10% YoY หนุนจากทั้งคนไข้ในประเทศ คนไข้ต่างประเทศโดยเฉพาะฐานคนไข้จากภูมิภาคตะวันออกกลางที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงฐานคนไข้ในภูมิภาค CLMV ที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง ย้ำศักยภาพศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง และการผ่าตัดแผลขนาดเล็ก เบื้องต้นคาดการณ์ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 มีแนวโน้มเติบโต YoY จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ภาวะฝุ่น PM 2.5 และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ หนุนปริมาณคนไข้ทั้ง OPD-IPD เร่งตัวขึ้น (ที่มา ทันหุ้น)

(+) NAM (Bloomberg Consensus - บาท) ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโต 50% นิวไฮต่อเนื่อง จากปี 2567 มีรายได้ 1.14 พันล้านบาท จากเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งใน-ต่างประเทศ ล่าสุดเข้าลงทุนใน "อินโนเวทีฟ อิมเมจจิ้ง ซิสเต็มส์" เสริมพอร์ตเครื่องมือแพทย์ขั้นสูง มั่นใจขยายฐานรายได้โตแรง พร้อมมุ่งสร้างการเติบโตระยะยาวสู่ระดับสากล ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น 0.15 บาทต่อหุ้น (ที่มา ทันหุ้น)

(+) SHR (Bloomberg Consensus 3.25 บาท) กวาดรายได้ ปี 2567 ทุบสถิติ 10,352 ล้านบาท พร้อมโชว์กำไรไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น 1.3 เท่าตัว สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการท่องเที่ยวทั่วโลกที่ขยายตัวต่อเนื่อง เตรียมขออนุมัติจ่ายเงินปันผล 0.03 บาทต่อหุ้น ส่งซิกโค้งแรกยังโตแข็งแกร่ง ยอดจองห้องพักล่วงหน้าขยายตัวขึ้นในเกือบทุกภูมิภาค (ที่มา ทันหุ้น)