ซีอีโอ ‘Amazon-Meta’นำทัพผู้บริหาร  7 หุ้นนางฟ้า โกยกำไร 6,000 ล้าน ยุคหุ้นเทคเฟื่องฟู

ซีอีโอ ‘Amazon-Meta’นำทัพผู้บริหาร  7 หุ้นนางฟ้า โกยกำไร 6,000 ล้าน ยุคหุ้นเทคเฟื่องฟู

'10 คนวงใน'บริษัทเทค นำโดย ‘เจฟฟ์ เบโซส’ และ  ‘มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก’ ซีอีโอของ‘หุ้น 7 นางฟ้าเททขายหุ้น โกยเงินกว่า 160 ล้านดอลลาร์ นักวิเคราะห์ชี้ ทำกำไรในในยุคหุ้นเทคเฟื่องฟูก่อนเกิด‘ฟองสบู่’

ในยุคที่"หุ้นเทคโนโลยี"ยักษ์ใหญ่ หรือ “7 หุ้นนางฟ้า” กำลังเฟื่องฟู สะท้อนจากการรายงานผลประกอบการทั้งกำไรและรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ ขณะเดียวกันผู้บริหารระดับสูงและกรรมการหลายคนในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่  อย่าง “เจฟฟ์ เบโซส” (Jeff Bezos) ซีอีโอคนก่อนของ Amazon.com และ “มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก” (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของ Meta  บริษัทแม่ของ Facebook ใช้โอกาสนี้ในการ“ขายหุ้น”ของบริษัทตัวเอง ซึ่งถือว่ามากที่สุดในรอบหลายปี

ข้อมูลจากบลูมเบิร์กชี้ว่า ตั้งแต่ปลายปี 2566 มีผู้บริหารระดับสูงและกรรมการนับสิบคนของบริษัทเหล่านี้ได้เพิ่มปริมาณการขายหุ้น โดยสามารถทำกำไรไปแล้วกว่า 160 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 6,000 ล้านบาท) ที่น่าสังเกตคือ บางคนไม่ได้ขายหุ้นเลยเป็นเวลานานถึง 9 ปี แต่กลับมาขายอย่างคึกคักในปีนี้

‘10 คนวงใน’บริษัทเทคโกยเงินตอนหุ้นขึ้น

“ซุนดาร์ พิชัย” ซีอีโอของบริษัทอัลฟาเบท อิงค์ (Alphabet) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ก็เป็นหนึ่งในผู้บริหารที่ขายหุ้นในบริษัทตัวเอง โดยปีนี้ พิชัยขายหุ้น Alphabet ไปแล้วมากกว่าทั้งปี 2566 จนสามารถทำกำไรไปกว่า 30 ล้านดอลลาร์โดยครั้งล่าสุดมีการยื่นรายงานการขายหุ้นในเดือนนี้ (พฤษภาคม 2567) ซึ่งราคาหุ้นของ Alphabet เพิ่มขึ้นมากกว่า 90% นับตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว  

ผู้บริหารระดับสูงเทคโนโลยทยักษ์ใหญ่ต่างเทขายหุ้นตามกระแส อย่าง “มาร์ค เพอร์รี่” กรรมการของบริษัทอินวิเดีย(Nvidia Inc.) ขายหุ้นในปีนี้มากกว่า 2 ปีที่ผ่านมารวมกัน และ “อาเธอร์ เลวินสัน” ประธานกรรมการของแอปเปิ้ล (Apple Inc.) ยื่นคำขอขายหุ้น Apple เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากที่สุดในรอบกว่า 20 ปี

สรุปการขายหุ้นของผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยี

  1. ซุนดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Alphabet ขายหุ้นมูลค่า 36.1 ล้านดอลลาร์ เป็นการขายหุ้น Alphabet ทั้งหมดของเขาในปี 2566
  2. รูธ โพรัท ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Alphabet ขายหุ้นมูลค่า 6.6 ล้านดอลลาร์ เป็นการขายหุ้น Alphabet ครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าร่วมบริษัทในปี 2558
  3. จูดิธ แมคกราธ กรรมการของ Amazon ขายหุ้นมูลค่า 1.0 ล้านดอลลาร์ เป็นการขายหุ้น Amazon ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564
  4. โจนาธาน รูบินสไตน์ กรรมการของ Amazon ขายหุ้นมูลค่า 3.1 ล้านดอลลาร์ เป็นการขายหุ้น Amazon ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564
  5. อาเธอร์ เลวินสัน ประธานของ Apple ขายหุ้นมูลค่า 18.1 ล้านดอลลาร์ เป็นการขายหุ้นรายบุคคลที่ใหญ่ที่สุดของเขาในรอบ 24 ปี
  6. แคธลีน โฮแกน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ Microsoft ขายหุ้นมูลค่า 26.8 ล้านดอลลาร์ เป็นการขายหุ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2564
  7. โดนัลด์ โรเบิร์ตสัน จูเนียร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีของ Nvidia ขายหุ้นมูลค่า 628.3 พันดอลลาร์ เป็นการขายหุ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2565
  8. ไมเคิล แมคคาฟเฟอรี่ กรรมการของ Nvidia ไม่ได้ขายหุ้น เป็นการขายหุ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2563
  9. มาร์ค เพอร์รี่ กรรมการของ Nvidia ขายหุ้นมูลค่า 18.2 ล้านดอลลาร์ เป็นการขายหุ้นที่มีมูลค่ามากกว่าในแต่ละสองปีก่อนหน้านี้
  10. โรบิน เดนโฮล์ม ประธานของ Tesla ขายหุ้นมูลค่า 52.0 ล้านดอลลาร์ เป็นการขายหุ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022 เพื่อขายตัวเลือกหุ้นที่หมดอายุ

การเทขายหุ้นครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า บรรดา "คนวงใน" ของวงการเทคโนโลยีกำลังเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรจากการที่ราคาหุ้นเทคโนโลยีพุ่งทะยานแตะระดับสูงสุดใหม่ หลังจากฟื้นตัวจากภาวะตกต่ำในปี 2565 อันเกิดจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

เห็นได้ชัดจากราคาหุ้นของ Nvidia ซึ่งเป็นหนึ่งใน " 7 หุ้นนางฟ้า” มีผลตอบแทนที่ดีที่สุดในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นถึง 83% ถือเป็นหุ้นที่ทำผลงานดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ในดัชนี S&P 500

หรือนี่อาจเป็นจังหวะที่ดีที่สุดในการทำกำไรแล้ว โดย “ลอยด์ ไกรฟ์” ผู้ก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุน Greif & Co. กล่าวว่า “They all understand that pigs get fat and hogs get slaughtered” เป็นสำนวน มีความหมายเชิงเปรียบเทียบ สะท้อนมุงมองที่นักลงทุนรู้ดีว่า หากโลภมากเกินไป อาจสูญเสียเงินลงทุนได้ เปรียบเหมือนสุกรที่อ้วนเกินไป ย่อมถูกเชือด 

 “ไม่มีใครกำหนดจุดสูงสุดของตลาดหุ้นได้อย่างแม่นยำ และเวลานี้ ตลาดดูเหมือนฟองสบู่ที่กำลังพองโต”

กลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งเจ็ดแห่ง ซึ่งรวมถึง Amazon.com, Microsoft, Meta Platforms, Tesla และแน่นอนว่ารวมถึง Nvidia ด้วย มีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 150% นับตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ล้วนมีแรงขับเคลื่อนสำคัญส่วนหนึ่งมาจากความต้องการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ของนักลงทุน

ผลประกอบการประจำไตรมาสล่าสุดชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีโมเมนตัม โดยบริษัททั้งหมด ยกเว้น Meta ต่างมีราคาหุ้นเพิ่มขึ้นหลังจากการประกาศผลประกอบการ ขณะที่ Nvidia ซึ่งมีกำหนดรายงานผลประกอบการในช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งเป็นบริษัทเดียวในกลุ่ม 7 หุ้นนางฟ้าที่ยังไม่ได้เปิดเผยผลประกอบการ

แม้แต่บริษัทที่ผลงานไม่ค่อยดี แต่เหล่า "คนวงใน" ก็ยังเทขายหุ้น ยกตัวอย่างเช่น “เทสลา” (Tesla) แม้ว่าราคาหุ้นจะร่วงลงในปีนี้ แต่ “โรบิน เดนโฮล์ม” ประธานกรรมการบริษัท ก็ยังคงยื่นเรื่องขายหุ้น เทสลามูลค่าประมาณ 52 ล้านดอลลาร์ทั้งที่ไม่ได้ขายหุ้นเลยตั้งแต่ปี 2566  

นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2557 ราคาหุ้น Tesla เพิ่มขึ้นมากกว่า 800% ซึ่งแม้ว่าราคาหุ้นจะร่วงลงมาบ้างในช่วงล่าสุด แต่ก็น่าจะเป็นการขายเพื่อทำกำไรอยู่ดี

หรือหุ้น 7 นางฟ้ากำลังเข้าสู่ ‘ขาลง’

เมื่อพิจารณาการขายหุ้นของเหล่า "คนวงใน" ทั้งหมดนี้ “แคลร์ แมดเดน” หุ้นส่วนผู้จัดการ บริษัท คอนเน็คชั่น แคปปิตอล ไพรเวทอิควิตี้ กล่าวว่า "มันชวนให้รู้สึกว่าพวกเขากำลังประเมินว่าตลาดหุ้นกำลังอยู่ในช่วงขาลง"

สังเกตได้ว่า มีผู้นำระดับสูงบางคนที่เพิ่งขายหุ้นเป็นครั้งแรก ตัวอย่างเช่น "รูธ โพรัท" หนึ่งในผู้บริหารของ Alphabet เพิ่งขายหุ้นเป็นครั้งแรก โดยสามารถทำกำไรไปได้ประมาณ 6.6 ล้านดอลลาร์ จากการขายหุ้นในบริษัทเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  ราคาหุ้นของ Alphabet เพิ่มขึ้นมากกว่า 500% นับตั้งแต่ โพราช ย้ายมาทำงานที่ Alphabet ในปี 2558

ไกรฟ์ เปิดมุมมองว่าไม่น่าแปลกใจที่ "คนวงใน" หลายคนกำลังเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรจากการที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และธนาคารกลางสหรัฐยังคงส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย

และท้ายที่สุด เหล่าผู้บริหารคงไม่มีใครอยากเป็นคนสุดท้าย เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป 

"No one wants to get caught standing in a game of musical chairs when the music stops" เกมดนตรีสับเก้าอี้ ที่คนที่เหลืออยู่ตอนหมดเพลงจะไม่มีที่นั่ง กล่าวคือ  ไม่มีใครอยากเป็นคนสุดท้าย เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เปรียบเหมือนกับ

2 ผู้บริหารได้กำไรมากสุด 

เบโซสและซักเคอร์เบิร์ก คือ 2 ตัวอย่างของผู้ที่ได้กำไรมากที่สุดจากการที่ราคาหุ้นของบริษัทพุ่งสูงขึ้น

เบโซส สามารถทำกำไรได้ประมาณ 8.5 พันล้านดอลลาร์ จากการขายหุ้นภายในระยะเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งการขายหุ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี 

ขณะเดียวกัน กองทรัสต์ของซักเคอร์เบิร์ก รวมถึงหน่วยงานที่ดูแลการบริจาคเพื่อการกุศลและกิจกรรมทางการเมืองของเขา ก็เริ่มทยอยขายหุ้นผ่านแผนการขายที่วางไว้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยรวมมูลค่าการขายหุ้นขณะนี้สูงกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ การขายหุ้นครั้งล่าสุดถือว่าเป็นจังหวะที่ดี เพราะราคาหุ้นของ Meta ลดลงประมาณ 5% นับตั้งแต่ช่วงเวลานั้น

ผู้แทนของซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่า การขายหุ้นส่วนใหญ่ของเขาเกิดขึ้นตามแผนการขายที่วางไว้ล่วงหน้า เพื่อนำเงินไปสนับสนุนกิจกรรมการกุศลของเขาและภรรยา คือ “ปริสซิลลา ชาน”

ทำให้เบโซส วัย 60 ปี และ ซักเคอร์เบิร์ก วัย 39 ปี มีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันประมาณ 3.78 แสนล้านดอลลาร์ โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่ของทั้งคู่ยังคงเป็นหุ้นของ Amazon และ Meta Platforms ตามข้อมูลดัชนีเศรษฐีพันล้านของ Bloomberg (Bloomberg Billionaires Index)