SAPPE - เติบโตระยะยาว (24 พฤษภาคม 2566)

SAPPE - เติบโตระยะยาว (24 พฤษภาคม 2566)

เริ่มต้นศึกษาหุ้น SAPPE โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 94 บาท เราชอบ SAPPE ในแง่ของแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวจากการเติบโตของยอดขายในต่างประเทศ

โดยเฉพาะในยุโรป (คาดว่ายอดขายจะ +72% yoy ในปี 2023F) ซึ่ง SAPPE กำลังขยายเครือข่ายจัดจำหน่าย ในขณะที่คาดว่ายอดขายในประเทศไทยจะโต 27% yoy ในปีนี้ จากการฟื้นตัวหลัง COVID และมีการนำสินค้าใหม่ ๆ ออกวางตลาด เราเชื่อว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ SAPPE จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วงปี 2023F-2028F จากการเติบโตของยอดส่งออก ทั้งนี้ P/E ปี 2023F ของหุ้น SAPPE อยู่ที่ 25x มี discount จากหุ้นอื่นในกลุ่ม ซึ่งเรามองว่าไม่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับแนวโน้มการเติบโตของ EPS ที่สูงถึง 38% ในปีนี้

 

กำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2023F จากยอดขายในยุโรป

เราเชื่อว่ายอดส่งออกจะคิดเป็น 77% ของรายได้ในปีนี้  โดย SAPPE ได้วางจำหน่าย เครื่องดื่มวุ้นมะพร้าว Mogu Mogu ซึ่งเป็น product champion ของบริษัทในตลาดต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2004 เราคาดว่าการฟื้นตัวหลัง COVID และการขยายเครือข่ายจัดจำหน่ายจะทำให้ยอดขายในยุโรปโตถึง 72% ในปีนี้ และจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว สำหรับในตลาดเอเชีย (ตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท ซึ่งคิดเป็น 41% ของรายได้) เราคาดว่ายอดขายจะโต 20% ในขณะที่คาดว่ายอดขายในประเทศไทยจะโต 27% ซึ่งถือเป็นการพลิกฟื้นจากที่ลดลง 13% ในปี 2022 (เพราะถูกกระทบจาก COVID) จากการออกสินค้าใหม่ และการฟื้นตัวจาก COVID

 

 

EBIT margin เพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุนบรรจุภัณฑ์ลดลงในปี 2566F

เราคาดว่า EBIT margin จะเพิ่มขึ้น 1.7ppt ในปี 2023F และจะเพิ่มขึ้น 0.3ppt ในปี FY24E เนื่องจาก 1) คาดว่าราคา PET resin จะลดลง (PET เป็นบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มและต้นทุนบรรจุภัณฑ์คิดเป็น 30% ของต้นทุนรวม) ประมาณ 30% YoY ในปี 2023F และ 2) บริหารค่าใช้จ่ายโฆษณาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่ยอดขายเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้สัดส่วน SG&A ต่อรายได้รวมลดลง 4.7ppt 

 

กำลังการผลิตที่ชนเพดานเป็นข้อจำกัดสำคัญ

ในปัจจุบัน อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงาน SAPPE อยู่ที่ 81% และบริษัทต้องการจะขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับยอดขายที่เติบโตอย่างรวดเร็ว (คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วง 2022-2026F) ผู้บริหารมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกเท่าตัวในอีกสองปีข้างหน้าในพื้นที่ของโรงงานเดิมโดยจะใช้งบลงทุน (capex) ปีละ 800 ล้านบาทในแต่ละปีของ 2023F และ 2024F ซึ่งจะมาจาก EBITDA และเงินสดที่มีอยู่ ทั้งนี้ หากการขยายกำลังการผลิตไม่เป็นไปตามแผนจะเป็นความเสี่ยงที่สำคัญของ SAPPE เพราะจะไปจำกัดการเติบโตของรายได้และกำไรในอีกสองสามปีข้างหน้า