KTX Zoom (26 เมษายน 2566)

KTX Zoom (26 เมษายน 2566)

สะสมกลุ่ม Consumer Staples, Health Care รับการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ

KTX Zoom (26 เมษายน 2566)

 

Today’s dominant ideas

SET Index คาดอ่อนตัว แนวรับ 1,530/1,523 จุด แนวต้าน 1,550/1,555 จุด สัญญาณเทคนิคเป็นทิศทางขาลง รูปแบบ Rounding Top โดยมีเป้าหมายที่ 1,518 จุด ขณะที่ผลกระทบจาก XD Effect วันนี้ มีผลต่อดัชนีฯ เพียง -0.06 จุด (GUNKUL ปันผล 0.06 บาท)

ประเด็นวันนี้  โมเมนตัมบวก จะมาจากรายงานผลกำไร 1Q23E บจ.สหรัฐฯ (อาทิ Meta, Boeing) บจ.ไทย (DELTA SCC) และรายงานส่งออกเดือน มี.ค.ของไทย (คาดเติบโตดีขึ้นเทียบกับ -4.7% YoY ในเดือน ก.พ.) ขณะที่ปัจจัยลบยังคงเป็นแนวโน้ม Fund Flows ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มชะลอตัว เป็นผลจากนักลงทุนต่างชาติมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายพอร์ตลงทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น (เพิ่มถือพันธบัตร รวมถึง Big Rotation ไปที่ IG Bonds (Vs High Yield Bonds) High quality (Vs Junk) ส่วนการลงทุนใน Equities ยังคง Underweight และเน้นถือครองกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีรายได้แน่นอน Health Care, Consumer Staples และสินทรัพย์เติบโตสูง Tech (ขณะที่ปรับลดพอร์ตกลุ่ม Energy, Financials
ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่เกือบ 1/3 ของตลาดหุ้นไทย เพราะมีความเสี่ยงเชิงลบจากการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย) อ้างอิงจากผลสำรวจผู้จัดการกองทุนโลกในช่วงวันที่ 6-13 เม.ย. ของ Bank of America บนแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้สิ้นสุด และความเสี่ยงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยปรับสูงขึ้น

แนวโน้มระยะกลางถึงยาว (3-12 เดือน) เราคาดว่าสหรัฐฯ มีโอกาสเข้าสู่ภาวะ Bull Steepening Yield Curve สูงขึ้น หลังจาก Bond Yields ได้ผ่านจุดสูงสุดและเข้าสู่ขาลงตั้งแต่เดือน มี.ค. (รูปขวาบน และซ้ายล่าง) ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความเสี่ยงเชิงลบ อิงสถิติในอดีต พบว่า Inverted Yield Curve ที่กลับตัวด้วยภาวะ Bull Steepening Yield Curve มักตามมาด้วยการปรับฐานของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ (รูปขวาล่าง) ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับฐาน 67% (เคยเกิดขึ้น 2/3 ครั้ง)

กลยุทธ์ลงทุน แนะนำ BJC EKH BH ในฐานะที่เป็นตัวแทนหุ้นกลุ่ม Consumer Staples และกลุ่ม Health Care ของไทย ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลบวกจากการปรับพอร์ตลงทุนรอบใหม่ของนักลงทุนต่างชาติ

 

 

 

Strategic daily picks

BJC   ปิด 38.25 บาท/แนวรับ 37 บาท แนวต้าน 39.50 บาท

Consensus ประเมินยอดขายเพิ่มขึ้น 12% เป็น 1.69 แสนล้านบาท ในปี 2023 จากการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กซี กลุ่มบรรจุภัณฑ์ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเครื่องมือการแพทย์และเวชภัณฑ์ โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 70bps YoY เป็น 19.1% ส่วนค่าใช้จ่ายคาดจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 20.2% จากค่าไฟและค่าใช้จ่ายด้านพนักงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งคาดกำไรปี 2023 โต 15% YoY เป็น 5.7 พันล้านบาท ราคาเป้าหมายปีนี้อยู่ที่ 41.97 บาท ทั้งนี้ BJC เตรียมนาบมจ. บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น (บริษัทย่อย) ยื่นไฟลิ่งต่อ ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนราว 3.73 พันล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท และจะเข้าจดทะเบียนใน SET ปีนี้

 

EKH   ปิด 8.05 บาท/แนวรับ 7.85 บาท แนวต้าน 8.70 บาท

Consensus ประมาณการรายได้และกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 1.12 พันล้านบาท และ 254 ล้านบาท ตามลำดับ และให้ราคาเป้าหมายปี 2023 ที่ 9.86 บาท ทั้งนี้ EKH เผยภาพรวมผลการดำเนินงาน 1Q23 ในส่วนของผู้ป่วยภาคปกติมีการฟื้นตัวดีมากเมื่อเทียบกับ 1Q22 และ สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน COVID-19 เนื่องจากลุ่มผู้ป่วยทุกแผนกกลับมารักษาตามปกติ ทั้งจากผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) และใน 1Q23 บริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 42% ขณะเดียวกันคาดแนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q23 เป็นต้นไป ผู้ป่วยภาคปกติจะยังขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงจะเริ่มเข้าสู่ช่วงต้นฤดูฝน ซึ่งจะมีโรคประจำฤดูกาลไปถึง 3Q23 นอกจากนี้ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2022 ทั้งเงินสด 0.32 บาท และหุ้นปันผล 40 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล (XA=3 พ.ค. 2023)

 

BH   ปิด 242 บาท/แนวรับ 234 บาท แนวต้าน 250 บาท

Consensus คาดกำไรสุทธิ 1.56 พันล้านบาท ใน 1Q23 (+114.9% YoY, +0.8% QoQ) ด้วยปัจจัยหนุนเชิงบวกจากการเปิดประเทศ ทำให้มีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติสูงกว่า 65% และคงประมาณการกำไรปี 2023-24 ที่ 5,270 ล้านบาท (+7% YoY) และ 5,736 ล้านบาท (+9% YoY) ตามลำดับ จากการรับรู้รายได้จากผู้ป่วยชาวซาอุดีอาระเบีย หลังจากการเข้าทำตลาดตั้งแต่ต้นปี 2022 และจะขยายฐานลูกค้าเพิ่ม (ตลาดเวียดนาม) นอกจากนี้ ทางรัฐบาลสนับสนุนให้ประเทศเป็น Medical Hub ทำให้โรงพยาบาลของไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น

KTX Zoom (26 เมษายน 2566)